15 ปี สมาคมเพื่อนชุมชน เปลี่ยน ‘มาบตาพุด’ ชูโรงงานเชิงนิเวศ

โชว์ผลงาน 15 ปี “สมาคมเพื่อนชุมชน” มุ่งสร้างความเข้าใจเพื่อชุมชนอยู่ร่วมกับอุตสาหกรรม ชูโรงงานเชิงนิเวศกว่า 76 แห่ง ยกระดับวิสาหกิจชุมชน 70 กลุ่ม เพิ่มรายได้สะสมกว่า 108 ล้านบาท
KEY
POINTS
- โชว์ผลงาน 15 ปี “สมาคมเพื่อนชุมชน” ครอบคลุม 3 มิติ สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจ มุ่งสร้างความเข้าใจ เพื่อ “ชุมชนอยู่ร่วมกับอุตสาหกรรม"
- ชูโรงงานเชิงนิเวศกว่า 76 แห่ง ยกระดับวิสาหกิจชุมชน 70 กลุ่ม ผ่านธรรมศาสตร์โมเดล เพิ่มรายได้สะสมกว่า 108 ล้านบาทใน 10 ปี
- ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก 360,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ตั้งเป้าสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับที่ 5
เดิมพื้นที่ใน “จังหวัดระยอง” จะเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและประมง ซึ่งเมื่อมีการพัฒนาโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard) และมีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมที่มาบตาพุด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่อย่างมาก แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ด้วยเหตุที่นิคมฯมาบตาพุด มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด ที่ถูกมองว่าสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกิดมลภาวะทางอากาศและน้ำ “สมาคมเพื่อนชุมชน (CPA)” จึงถือกำเนิดขึ้นภายใต้การก่อตั้งของ 5 บริษัทหลัก ได้แก่ กลุ่ม ปตท. เอสซีจี บีแอลซีพี กลุ่มบริษัทดาว ประเทศไทย และ จีพีเอสซี โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างความเข้าใจ เพิ่มความมั่นใจให้แก่ชุมชนเพื่อสามารถอยู่ร่วมกับอุตสาหกรรมได้อย่างยั่งยืนในมิติสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'เพื่อนชุมชน' ปั้นนักขาย TikTok ดึงมือโปรสอน 'คอนเทนต์ปัง-รายได้เป๊ะ'
'Longevity' สุขภาพยั่งยืนมีคุณภาพ ความมั่นคงแบบใหม่ของทุกวัย
ความสำเร็จ 15 ปีของสมาคมเพื่อนชุมชน
"ทศพร บุณยพิพัฒน์" นายกสมาคมเพื่อนชุมชน (CPA) กล่าวว่าสมาคมเพื่อนชุมชนได้ดำเนินงานมาตลอด 15 ปี โดยเป็นศูนย์กลางความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และชุมชน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าอุตสาหกรรมสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน และส่งเสริมความเจริญเติบโตในภาพรวมทั้งระดับท้องถิ่น ไปจนถึงระดับจังหวัดระยอง ด้วยการดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม รวมพลังเพื่อขับเคลื่อนเติบโตไปด้วยกัน
“โครงการเด่น ๆ ที่ได้ดำเนินการนั้นมีจำนวนมากและครอบคลุมทุกมิติ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาทิ การส่งเสริม 'ชุมชนคาร์บอนต่ำ' (Low Carbon Society) โดยให้องค์ความรู้ สนับสนุนพลังงานสะอาด และจัดการขยะ (Waste Community Hub) รวมถึงการนำน้ำมันพืชใช้แล้วมาผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) พร้อมจัดตั้ง “ระบบเพื่อนช่วยเพื่อน” เพื่อยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ช่วยเหลือผู้ ประกอบการรายย่อย จนเกิด โรงงานเชิงนิเวศกว่า 76 แห่ง และ พัฒนาจากโรงงานสู่ระบบอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกันทั้งเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม พร้อมขยายขอบเขตจาก Eco Factory ไปสู่ Eco Industrial Town จนถึงระดับ Eco City ที่ครอบคลุมทั้งจังหวัดระยอง” ทศพร กล่าว
อัพวิสาหกิจชุมชน สร้างรายได้สะสมกว่า 108 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการยกระดับวิสาหกิจชุมชนผ่าน 'ธรรมศาสตร์โมเดล' ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสมาคมเพื่อนชุมชน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บริษัทสมาชิกสมาคมเพื่อนชุมชน เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจชุมชน (วสช.) จังหวัดระยอง ผ่านโครงการถ่ายทอดองค์ความรู้ และการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จากอาจารย์ และนักศึกษา ซึ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจัดจำหน่าย และองค์ความรู้ด้านการตลาดสมัยใหม่ สร้างรายได้สะสมกว่า 108 ล้านบาทใน 10 ปี
รวมถึงยังมีการส่งเสริมคุณภาพชีวิตด้านสาธารณสุข เช่น หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ทุนพยาบาลต่อเนื่อง 15 ปี 440 ทุน และทุนทางการแพทย์ ทำให้การบริการด้านสาธารณสุขมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น การแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน การดูแลผู้ป่วยในชุมชน โดยเฉพาะปัญหาโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ NCD โดยการฝึกอบรม อาสาสมัครสาธารณสุข ประจำหมู่บ้าน (อสม. ) ซึ่งครอบคลุม 9 โรงพยาบาล ดูแลประชากร 3 แสนกว่าคน เพื่อช่วยเสริมการทำงานของโรงพยาบาลในพื้นที่
อีกทั้งยังมีโครงการทุนการศึกษาในระดับ ปวช. และปริญญาตรี และโครงการติวเตอร์ 'พาน้องเข้ามหาวิทยาลัย' ที่ได้รับความนิยมสูงมาก เพราะมีการเปิดรับให้เด็กและเยาวชนทั่วประเทศได้เข้าร่วม โดยมีการจัดกิจกรรมแบบไฮบริด ทั้งออนไลน์และออนไซต์ สิ่งที่พยายามทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นการปรับ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ด้วยแนวคิด เมืองน่าอยู่ คู่กับอุตสาหกรรม
เปลี่ยนมาบตาพุดให้เป็น “เมืองน่าอยู่ เมืองยั่งยืน”
"ทศพร" กล่าวต่อว่าในการดำเนินการทางสมาคมฯ ได้นำกรอบการพัฒนา เป็นโมเดลเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศใน 4 ระดับ ได้แก่ ระดับที่ 1 : ECO FACTORY โครงการระดับพื้นฐานอย่าง “โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ” มุ่งเน้นให้โรงงานอุตสาหกรรมยึดมั่นในการประกอบกิจการ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่งเสริมสังคมและพัฒนาเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น ทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ
ระดับที่ 2 : ECO Industrial Estate โครงการระดับ “นิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ” ที่เกิดจากการรวมตัวกันของโรงงานประเภทต่างๆ ในพื้นที่พัฒนาจนเกิดเป็นเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
ระดับที่ 3 : ECO Industrial Town โครงการระดับเมือง ภายใต้นิยาม “เมืองน่าอยู่คู่อุตสาหกรรม”(เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ) คือการเชื่อมโยงนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ให้เข้ากับพื้นที่หรือชุมชนโดยรอบ จนเกิดสมดุลทางเศรษฐกิจและสังคมรูปแบบใหม่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นให้กับชุมชนโดยรอบ
ระดับที่ 4 : ECO CITY หรือ Green City คือการบูรณาการขั้นสูงสุด กับการเปลี่ยนให้ทั้งจังหวัด กลายเป็น “เมืองน่าอยู่ เมืองยั่งยืน” ที่สามารถขยายไปได้ทั่วทั้งจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นชุมชนเชิงนิเวศ โรงเรียนเชิงนิเวศ ศาสนสถานเชิงนิเวศ เกิดเป็นวิถีชีวิตที่พร้อมประหยัดพลังงาน และช่วยรักษาทรัพยากร ส่งผลให้เกิดการเติบโตแบบทั้งระบบ ไล่ระดับตั้งแต่ภาคอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภค การท่องเที่ยว จนไปถึงคุณภาพชีวิตที่เปลี่ยนไป
โดยยังคงให้ความสำคัญกับชุมชนรอบนิคมฯ วัตถุประสงค์คือให้เมืองระยองเป็น 'เมืองน่าอยู่คู่อุตสาหกรรมที่เติบโตไปด้วยกัน' และตั้งเป้าเป็น 'Happy Industrial Estate' ในปี 2569 ซึ่งจะช่วยเป็นต้นแบบให้นิคมอุตสาหกรรมอื่นนำไปปรับใช้ได้
ลดก๊าซเรือนกระจก 360,000 ตันคาร์บอนฯ
นายกสมาคมเพื่อนชุมชน กล่าวอีกว่าบริษัทสมาชิกฯ ได้ร่วมกันดำเนินมาตรการต่าง ๆ รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยสามารถลดก๊าซเรือนกระจก คิดเป็น 360,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 30 ล้านต้น พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำผ่านโครงการ LESS Model (Low Emission Support Scheme) สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 12,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้น
“ความท้าทายสำคัญคือการสร้างการมีส่วนร่วม ความเข้าใจ และให้ความรู้แก่ชุมชนให้สอดคล้องกับเป้าหมายอุตสาหกรรม และนโยบายของภาครัฐ โดยเฉพาะการก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งสมาคมฯ จะเป็นผู้ปูพื้นฐานองค์ความรู้และแนวทางการปฏิบัติให้กับประชาชนจังหวัดระยองที่ในปัจจุบันมีการเติบโตทางเศรษฐกิจและประชากรอย่างมหาศาล สมาคมฯ มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นหลังเหตุการณ์ในอดีต และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาจังหวัดระยองให้เป็น 'เมืองน่าอยู่คู่อุตสาหกรรมที่เติบโต' และบรรลุเป้าหมาย 'ระดับแห่งความสุข' ในการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับสูงสุดภายในปี 2569”ทศพร กล่าว
ตั้งเป้าเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับที่ 5
"ทศพร" กล่าวด้วยว่าการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ จ.ระยอง เพื่อขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ในการพัฒนาให้เกิดเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศต้นแบบ ในพื้นที่มาบตาพุดคอมเพล็กซ์ อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับที่ 5 (Happiness) ระดับสูงสุด โดยจะยังคงให้ความสำคัญต่อการดำเนินกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การรับผิดชอบต่อสังคม และบรรษัทภิบาล ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อนำผู้ประกอบการและชุมชนมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) โดยสมบูรณ์สร้างคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นให้กับพี่น้องชุมชน
“มาบตาพุด จังหวัดระยอง" เป็นพื้นที่ที่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่แตกต่างและหลากหลาย ซึ่งการดำเนินการตามนโยบายที่ภาครัฐกำหนด อย่างการจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทุกบริษัทมีทิศทางว่าจะทำอะไรบ้าง แต่ทั้งนี้ ก็ต้องมีความชัดเจนของนโยบายภาครัฐ เช่น การกักเก็บคาร์บอน ทำอย่างไรให้ชุมชนเข้าใจ มีความรู้ เพราะตอนนี้หากภาคประชาชน ชาวบ้านไม่ได้รับองค์ความรู้ หรือทำความได้เข้าใจอาจจะไม่ได้มีการเตรียมการที่ดี ทั้งที่ชาวบ้านมีการตื่นตัวในเรื่องนี้มา
"การที่สมาคมฯ ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยบูรพา ในการเข้าไปให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ และร่วมจัดการกักเก็บคาร์บอนให้แก่ชุมชน ในจ.ระยอง เพื่อประชาชนให้ตระหนักรู้และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองน่าอยู่คู่อุตสาหกรรมที่เติบโต เพราะวันนี้ ชาวมาบตาพุดรับรู้แล้ว ว่าขยะมีมูลค่า สร้างรายได้ เพราะสมาคมฯ เข้าไปให้องค์ความรู้ในการบริหารจัดการขยะ ขณะที่เอกชนที่เป็นสมาชิก ได้มีการจัดตั้งโรงงานรีไซเคิล ทำให้สามารถลดปัญหาขยะ และเชื่อว่า ในอนาคต จะมีภาคเอกชนหลายรายเข้ามาดำเนินการด้านนี้ เพื่อร่วมกันดูแลด้านสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ"ทศพร กล่าว
ชาวมาบตาพุดย้ำความร่วมมือ พัฒนาท้องถิ่นยั่งยืน
"ถวิล โพธิบัวทอง" นายกเทศมนตรีนครมาบตาพุด กล่าวแสดงความเชื่อมั่นต่อการเข้ามาร่วมทำงาน ของสมาคมเพื่อนชุมชนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาว่า นับเป็นความร่วมมือของทุกส่วนที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ และก่อให้เกิดความก้าวหน้าในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ในพื้นที่ ทั้งในเรื่องสาธารณสุข การศึกษา การให้องค์ความรู้ สร้างรายได้ให้กับวิสาหกิจชุมชน การดูแลสิ่งแวดล้อมที่จริงจัง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
ยอมรับว่าพื้นที่มาบตาพุด มีการย้ายเข้าของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวลารวดเร็ว เพราะเป็นพื้นที่ที่เป็นแหล่งงานที่มีความหลากหลาย ซึ่งการบริหารท้องถิ่นต้องมีการวางแผนรองรับให้เพียงพอในทุกด้าน สมาคมเพื่อนชุมชน เป็นกลุ่มเอกชนที่มองเห็นโอกาสในการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ มีความเท่าเทียมในทุก ๆ ด้านเช่นเดียวกับพื้นที่ส่วนกลาง
“วันนี้ เราทำงานเป็นทีมเดียวกัน ที่จะช่วยกันนำมาบตาพุดสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน สะท้อนให้เห็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง ที่สามารถยกฐานะเทศบาลเมืองมาบตาพุด เป็น “เทศบาลนครมาบตาพุด” ซึ่งจะเรียกความเชื่อมั่นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น” ถวิลกล่าว
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า สมาคม ฯ ยังยึดมั่นในการสนับสนุนและเดินหน้าโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ในโครงการส่งเสริมการศึกษาเยาวชน การดูแลระบบบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ การร่วมมือเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการสร้างอาชีพคนในท้องถิ่น ฯลฯ จนได้รับการประเมิน ให้เป็น "เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับที่ 4 (Symbiosis) และเป็นต้นแบบ" ที่สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยต่อคนสูงที่สุดในประเทศ และยังคงรักษาระบบนิเวศ เพื่อให้เป็นแหล่งการท่องเที่ยวชั้นนำสืบไป







