บางจาก ปูทาง e-Fuels ต่อยอดพันธมิตรญี่ปุ่น ENEOS ปั้นเชื้อเพลิงดักจับคาร์บอน

บางจากฯ เดินหน้าศึกษาเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (e-Fuels) โดยขยายความร่วมมือกับ ENEOS พันธมิตรจากญี่ปุ่น เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในอนาคต
KEY
POINTS
- บางจากฯ เดินหน้าศึกษาเทคโนโลยี e-Fuels เล็งขยายความร่วมมือกับ ENEOS พันธมิตรจากญี่ปุ่น เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในอนาคต
- e-Fuels เป็นเชื้อเพลิงที่ผลิตจากการดักจับและนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และสามารถใช้กับรถยนต์สันดาปภายในปัจจุบันได้ทันที
- การลงทุนในเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “Accelerating Bangchak 100x” เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและความยั่งยืน โดยมีการสำรองงบลงทุนในเทคโนโลยีผ่าน CVC ราว 1,000 ล้านบาท
ในขณะที่โลกกำลังผลักดันการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ภาคขนส่งหลายประเภทกลับยังต้องอาศัยเชื้อเพลิงเหลวที่มีความหนาแน่นสูงและสะดวกต่อการจัดเก็บและขนส่ง ทำให้ "e-Fuels" ถูกยกระดับให้เป็น “สะพานเชื่อม” ของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Transitional Energy) เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนในระดับโลก
ล่าสุด “ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เยือนศูนย์วิจัยเทคนิคกลาง เมืองโยโกฮาม่า ของ ENEOS Holdings ประเทศญี่ปุ่น เดินเกมเชิงรุก จับตาเทคโนโลยี e-Fuels พลังงานแห่งอนาคต เล็งขยายความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อหนุนกลยุทธ์ “Accelerating Bangchak 100x” Pivoting toward Energy Security and Sustainability” ที่ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA ขึ้น 100% ภายในปี 2571
“ชัยวัฒน์” ได้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยวิสัยทัศน์เกี่ยวกับทิศทางการเปลี่ยนผ่านพลังงานของโลก โดยระบุว่าเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (Synthetic Field หรือ e-Fuel) อาจเป็น "คำตอบสุดท้าย" ของการแก้ปัญหาโลกร้อน
“ในปัจจุบันมีประชากรรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนถนนทั่วโลกประมาณ 1,500 ล้านคัน โดย 95% ถึง 99% เป็นรถที่ยังคงใช้เชื้อเพลิงในสถานะของเหลว (น้ำมัน) หากโลกต้องเปลี่ยนรถทั้งหมด 1,500 ล้านคันนี้ไปเป็นรถที่ใช้แบตเตอรี่หรือไฮโดรเจน ซึ่งวันนี้มีการผลิตรถยนต์ได้เพียงปีละประมาณ 60-70 ล้านคัน จะต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการทดแทน”
เชื้อเพลิงใหม่ ใช้ได้โดยไม่ต้องดัดแปลงยานพาหนะ
e-Fuels ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิม โดยกระบวนการผลิต e-Fuels เป็นการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหลวที่ดักจับได้จากบรรยากาศโดยตรง (Direct Capture) และจากแหล่งอุตสาหกรรม มารวมกับไฮโดรเจนที่แยกมาจากน้ำ การผสมผสานนี้จะเกิดเป็นก๊าซสังเคราะห์ (Syngas) จะได้ของเหลวที่เรียกว่า “น้ำมันดิบสังเคราะห์” ซึ่งจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการกลั่น (Direct-Fischer) และปรับแต่งจนได้เชื้อเพลิงสำเร็จรูป เช่น e-Gasoline, e-Diesel, และ e-SAF
น้ำมันที่ได้ออกมาจะมีคุณสมบัติเหมือนกับน้ำมันที่มาจากน้ำมันดิบใต้ดินทุกประการ โดย ENEOS ได้มีการทดลองนำน้ำมันสังเคราะห์นี้ ไปเติมในรถบัสเพื่อขนส่งสาธารณะแล้ว
“ชัยวัฒน์” ระบุว่า ข้อดีของกระบวนการผลิตนี้ทำให้เกิด Circular Economy เพราะเป็นการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ใหม่ จึงไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่ม นอกจากนี้ คุณสมบัติของ e-Fuel ยังดีกว่าน้ำมันใต้ดินเพราะไม่มีส่วนประกอบของกำมะถัน
“แม้แต่ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี ก็ยังยอมรับให้ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine หรือ ICE) ได้ต่อไป e-Fuels อาจเป็นทิศทางสุดท้ายที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรถยนต์ทั้งระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานพาหนะขนาดใหญ่ เช่น เครื่องบินและเรือเดินสมุทรที่ยังคงต้องใช้เชื้อเพลิงเหลว”
แนวโน้มของตลาดโลกก็สะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจน ปัจจุบันอุตสาหกรรม e-Fuels มีมูลค่าประมาณ 11,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (ข้อมูลปี 2568) และคาดว่าจะขยายตัวแตะระดับเกือบ 88,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2575 ตามข้อมูลจาก Fortune Business Insights (2567)
อุปสรรคต้นทุนและกลยุทธ์การลงทุน
ปัจจุบัน ต้นทุนการผลิต e-Fuels ยังค่อนข้างแพงมาก อยู่ที่ประมาณ 8-9 เท่า ของเชื้อเพลิงปกติ ส่วนที่แพงที่สุดคือค่าไฟฟ้าที่ใช้ในการแยกโมเลกุลน้ำเพื่อผลิตไฮโดรเจน
“ชัยวัฒน์” เสนอว่า แนวโน้มที่จะทำให้ต้นทุนแข่งขันได้คือการใช้ระบบไฟฟ้าแบบ Ancillary Service ซึ่งเป็นบริการเสริมเพื่อรักษาเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้า เช่น การควบคุมความถี่และแรงดันไฟฟ้า มีบทบาทสำคัญในพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านพลังงานหมุนเวียนสูง เช่น ออสเตรเลีย หรือบางช่วงของ แคลิฟอร์เนีย ที่มีแสงแดดจัดและลมแรง
หรือ Electricity Currency แนวคิดการใช้ไฟฟ้าเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน โดยหน่วยกิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ทำหน้าที่เสมือนเงิน ช่วยส่งเสริมระบบพลังงานแบบกระจายศูนย์ เมื่อมีกำลังการผลิตไฟฟ้าล้นเกิน (over supply) อาจทำให้ราคาค่าไฟฟ้า 'ติดลบ' ได้ หากได้ไฟฟ้าฟรี (หรือติดลบ) มาใช้ในการแยกน้ำ จะทำให้ต้นทุนถูกลงและสามารถแข่งขันกับเชื้อเพลิงทั่วไปได้
สำรองงบฯ พันล้าน ลงทุนในเทคโนโลยี
“ชัยวัฒน์” กล่าวด้วยว่า บางจากเดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์ “Accelerating Bangchak 100x: Pivoting toward Energy Security and Sustainability” ภายใต้ 4 แกนยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่
- การตั้งเป้าหมายใหม่ที่ท้าทาย มุ่งผลักดันให้ EBITDA เติบโตเพิ่มขึ้น 100% ภายในปี 2571 พร้อมเสริมสร้างศักยภาพองค์กรและตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน
- การขับเคลื่อนสู่ความมั่นคงทางพลังงานและความยั่งยืน
- การยกระดับศักยภาพธุรกิจผ่านการปรับโครงสร้าง
- การสร้างคุณค่าแก่ผู้ถือหุ้นผ่านโครงการซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี เพื่อเสริมความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการเติบโตระยะยาว
“บางจากมีการลงทุนในเทคโนโลยีในลักษณะนี้ผ่านการใช้ CVC (Corporate Venture Capital) โดยสำรองเงินไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท เป้าหมายคือการหา 'ทางลัด' โดยเข้าไปร่วมลงทุนในเทคโนโลยีที่ผ่านการวิจัยมาแล้วและพร้อมที่จะขยายขนาด การลงทุนนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งหวังว่าจะได้ผลตอบแทนกลับมาด้วย”
นอกจาก e-Fuels แล้ว บางจากยังมุ่งเน้นเชื้อเพลิงเหลวต่อไป รวมถึง Biorefinery ที่ผลิตเอทานอลรุ่นที่สอง จากเศษไม้ กากไม้ เศษกระดาษ หรือหญ้า และฟางอ้อย ซึ่งไม่ใช่วัตถุดิบในห่วงโซ่อาหาร
ปรับโครงสร้างธุรกิจ เน้นเทรดดิ้ง และ Synergy
“ชัยวัฒน์” ได้กล่าวถึงกลยุทธ์ของกลุ่มบริษัทใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยเน้นที่การสร้าง Synergy และการรวมธุรกิจ ดังนี้
- การรวมธุรกิจ: นำธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น การตลาด การกลั่น และ Biofuel มาอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน
- ธุรกิจเทรดดิ้ง: ถือเป็น engine ใหม่ของบริษัท โดยมีเป้าหมายที่จะเติบโตถึง 7-8 เท่า ธุรกิจเทรดดิ้งนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงธุรกิจทั้งหมดของกลุ่ม และช่วยให้บางจากสามารถทำธุรกิจที่ไม่ต้องจำกัดการขายในประเทศไทยเท่านั้น
- ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน: ซึ่งกำลังมีการพิจารณาโครงสร้างผู้ถือหุ้น และเป็นส่วนที่บางจากยังคงมุ่งเน้นเรื่องความยั่งยืน (Sustainability)
“การรวมธุรกิจครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้าง Synergy ระหว่างหน่วยงาน และลดการทำงานแบบแยกส่วน หรือ Silo ที่มักเกิดขึ้นเมื่อแต่ละธุรกิจดำเนินงานอย่างอิสระ การรวมพลังกันช่วยเปิดโอกาสให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบ ซึ่งคาดว่าจะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระดับที่มีนัยสำคัญ" ชัยวัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างยังถือเป็นการวางรากฐานสำคัญ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มบริษัทสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาที่ มูลค่าหุ้นไม่สะท้อนศักยภาพการเติบโตของบริษัท แม้ยอดขายและสินทรัพย์จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาหุ้นกลับทรงตัว การรวมธุรกิจจึงเป็นทั้ง “กลไกสร้างประสิทธิภาพ” และ “เครื่องมือปลดล็อกมูลค่าองค์กร” ไปพร้อมกัน
ส่องแนวทางพลังงานญี่ปุ่น ENEOS
ศูนย์วิจัยเทคนิคกลางของ ENEOS ได้จัดตั้งโรงงานสาธิตผลิต e-Fuels มาตั้งแต่ปี 2567 โรงงานสาธิตนี้มีกำลังผลิตเริ่มต้น 1 บาร์เรลต่อวัน และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานวิจัยและพัฒนาของรัฐบาลญี่ปุ่น New Energy and Industrial Technology Development Organization (NEDO) ภายใต้กองทุน Green Innovation Fund โดยมีการนำผลงานไปจัดแสดงแล้วที่งาน Osaka Expo 2025
ทีมนักวิจัยในโครงการพัฒนาเชื้อเพลิงสังเคราะห์ของ ENEOS Holdings ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการวิจัยที่มุ่งเน้นการสร้างพลังงานทางเลือกสะอาด โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยโลก
เป้าหมายสูงสุดของการวิจัยคือการทำให้เชื้อเพลิงสังเคราะห์มีราคาที่เทียบเท่ากับเชื้อเพลิงทั่วไปที่ใช้กันอยู่ในตลาด แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุระยะเวลาที่ชัดเจนในการลดต้นทุนจากประมาณ 700 เยน ลงมาสู่ระดับที่แข่งขันได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงสถานการณ์เชื้อเพลิงของโลก อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัย บอกว่า การวิจัยจะสามารถช่วยลดต้นทุนลงมาให้เข้ากับราคาเชื้อเพลิงทั่วไปได้ในอนาคต
สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตนั้น ทางทีมวิจัยชี้ว่า แม้จะมีบริษัทเชื้อเพลิงอื่นๆ ทำการวิจัยในลักษณะเดียวกัน แต่สิ่งที่โดดเด่นของโครงการนี้คือเทคโนโลยี FT synthesis และ FT Upgrading ซึ่งถูกระบุว่าเป็นหัวใจสำคัญของโมเดลการผลิต
เมื่อถูกถามถึงการแข่งขันกับรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ 100% ทางทีมวิจัยเปิดเผยว่า ไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่ง แต่เป็น 'ตัวเลือกหนึ่ง' ให้ผู้บริโภค ทีมวิจัยมองว่าไม่มีทางที่การใช้ไฟฟ้า 100% จะยั่งยืนหรือแพร่หลายได้ครอบคลุมไปทั้งหมด ดังนั้น จึงยังจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ เสริมด้วย
เทรนด์ e-Fuels พุ่งแรงทั่วโลก
กระแสการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานคาร์บอนต่ำ ทำให้ “e-Fuels” ถูกยกระดับให้เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีดาวรุ่งที่ทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด ข้อมูลล่าสุดจาก International e-Fuels Observatory (ฉบับปี 2568) ระบุว่า ปัจจุบันมี โครงการ e-Fuels เกือบ 120 โครงการใน 28 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมตั้งแต่ระดับนำร่องจนถึงโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
โดยคาดว่ากำลังการผลิตรวมทั่วโลกจะ แตะกว่า 15 ล้านตันต่อปีภายในปี 2573 สะท้อนการขยายตัวอย่างรวดเร็วภายใต้แรงสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ต้องการผลักดัน e-Fuels เข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้
โครงการนำร่องสำคัญทั่วโลกที่จุดกระแส e-Fuels ให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น นอกจาก ENEOS ประเทศญี่ปุ่นแล้ว ยังมีอีกหลายโครงการ ได้แก่
- Haru Oni Project – ชิลี: ความร่วมมือระหว่าง Porsche และ HIF Global ใช้พลังงานลมจากภูมิภาค Patagonia ผลิต e-Methanol และ e-Gasoline เริ่มเดินเครื่องในปี 2565 ด้วยกำลังผลิตราว 130,000 ลิตรต่อปี และเตรียมขยายสู่ระดับเชิงพาณิชย์ในเร็วๆ นี้
- INERATEC ERA ONE – เยอรมนี: โรงงาน e-Fuels ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เปิดดำเนินการจริงที่แฟรงก์เฟิร์ตในเดือนมิถุนายน 2568 มีกำลังการผลิตสูงสุด 2,500 ตันต่อปี สำหรับเชื้อเพลิงสังเคราะห์ในภาคการบินและขนส่ง
- Airbus e-SAF – ยุโรป: ความร่วมมือระหว่าง Airbus, TotalEnergies และ Neste ทดสอบ e-SAF (Sustainable Aviation Fuel) กับเครื่องบินรุ่น A350 และ A321neo ตั้งแต่ปี 2564 โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ — แสดงถึงศักยภาพของ e-Fuels ในการขับเคลื่อนการบินพาณิชย์คาร์บอนต่ำ
- Norsk e-Fuel – นอร์เวย์: โรงงานที่เมือง Mosjøen ตั้งเป้าเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2569 ด้วยกำลังผลิตระยะแรก 25 ล้านลิตรต่อปี เพื่อป้อนตลาดการบินยุโรป







