ทายาทเจน 5 ไร่ชาเขียว 150 ปี 'ยามามะ มัตสึดะเอ็น' สานวิถีญี่ปุ่น สู้ยุคโลกร้อน

ทายาทเจน 5 ไร่ชาเขียว 150 ปี 'ยามามะ มัตสึดะเอ็น' สานวิถีญี่ปุ่น สู้ยุคโลกร้อน

"ยามามะ มัตสึดะเอ็น" ไร่ชาเก่าแก่กว่า 150 ปีในจังหวัดชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น บริหารโดยทายาทรุ่นที่ 5 ที่มุ่งมั่นสืบสานวัฒนธรรมการผลิตชาญี่ปุ่นคุณภาพสูง และยั่งยืน

KEY

POINTS

  • "ยามามะ มัตสึดะเอ็น" ไร่ชาเก่าแก่กว่า 150 ปีในจังหวัดชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
  • บริหารโดยทายาทรุ่นที่ 5 ที่มุ่งมั่นสืบสานวัฒนธรรมการผลิตชาญี่ปุ่นคุณภาพสูง และยั่งยืน
  • ส่งออกมัทฉะเกรดพรีเมียมมายังประเทศไทย เพื่อใช้ในร้านกาแฟอินทนิล ที่แรกและที่เดียวในปัจจุบัน
  • ไร่ชาทั่วโลกกำลังเผชิญความท้าทายจากภาวะโลกร้อน กระทบโดยตรงทำให้ผลผลิตชาเกรดพรีเมียมมีปริมาณลดลง
  • เพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด ทางไร่ได้มีกลยุทธ์สำคัญ และเน้นการทำฟาร์มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ใครจะเชื่อว่า "ชาเขียวแก้วเล็กๆ" จะแฝงไว้ด้วยวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่และกลยุทธ์แห่งความยั่งยืนกว่า 150 ปี… ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางเยือน บริษัท ยามามะ มัตสึดะเอ็น จำกัด (Yamama Masudaen Co., Ltd.) ที่มีทั้งฟาร์มปลูกชาขนาด 1.1 เฮกตาร์ หรือเทียบเท่าฟุตบอล 1.5 สนาม ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 ฟาร์มชาเขียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และมีโรงงานชาเก่าแก่ในพื้นที่เดียวกัน

'ยามามะ มัตสึดะเอ็น' ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1870 หรือกว่าสมัยเมจิที่ 3 จนถึงวันนี้ก็ยังคงยืนหยัดผลิตชาเพื่อโลกมาอย่างต่อเนื่อง ในจังหวัดชิซูโอกะ ดินแดนแห่งภูเขาไฟฟูจิ และแหล่งกำเนิดชาเขียวคุณภาพอันดับ 1 ของญี่ปุ่น

หัวใจของโรงงานอยู่ที่ "สึโยมิ มัตสึดะ" (Mr. Tsuyomi Masuda) ทายาทรุ่นที่ 5 ผู้กุมบังเหียนในตำแหน่งประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมภารกิจสำคัญ ส่งต่อ “ชาญี่ปุ่นคุณภาพสูง” ให้ผู้คนทั่วโลกได้ลิ้มรสความพิถีพิถันแบบต้นตำรับ

เรื่องที่ทำให้คนไทยยิ่งใกล้ชิดกับตำนานชาญี่ปุ่นแห่งนี้ก็คือ การที่ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ได้นำเข้ามัทฉะเกรดพรีเมียมจากยามามะ มัตสึดะเอ็น เพื่อนำไปชงเสิร์ฟในร้าน ‘อินทนิล คอฟฟี่’ เป็นปีแรก และร้านแรกในไทย เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสความละเมียดละไมจากแหล่งกำเนิดโดยตรง

ทายาทเจน 5 ไร่ชาเขียว 150 ปี 'ยามามะ มัตสึดะเอ็น' สานวิถีญี่ปุ่น สู้ยุคโลกร้อน

ทายาทเจน 5 ไร่ชาเขียว 150 ปี 'ยามามะ มัตสึดะเอ็น' สานวิถีญี่ปุ่น สู้ยุคโลกร้อน

การเดินทางของ 'ยามามะ มัตซึดะเอ็น' นั้นน่าสนใจอย่างมาก เพราะพวกเขาดูแลจัดการทุกขั้นตอนของชา ตั้งแต่การปลูกในไร่ไปจนถึงการผลิตและการบรรจุหีบห่อขั้นสุดท้าย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ไม่มีใครเทียบได้

ทำให้ในปี 2015 ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดคือ “ถ้วยพระจักรพรรดิ” ซึ่งตลอดระยะเวลา 64 ปีของการมอบรางวัลนี้ มีเพียง 5 คนเท่านั้นที่ได้รับรางวัลในหมวดชา นอกจากนั้น ได้รับรางวัลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง หลายครั้ง และได้รับการรับรอง Rainforest Alliance ที่เน้นการผลิตอย่างยั่งยืน

พื้นที่ของฟาร์มมีความหลากหลายทั้งในส่วนของที่ราบลุ่มและที่สูง ซึ่งความแตกต่างของที่ตั้งนี้เองทำให้บริเวณฟาร์มแห่งนี้สามารถเก็บเกี่ยวชาได้เป็นที่แรกๆ ในภูมิภาคนั้น

วงจรของต้นชาในญี่ปุ่นยังแตกต่างจากของไทยอย่างชัดเจน เนื่องจากตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงมีนาคม ต้นชาจะเข้าสู่ช่วงพักตัวนานกว่า 6 เดือนเต็มๆ ก่อนที่จะเริ่มผลิใบและเก็บเกี่ยวได้อีกครั้งในเดือนเมษายน

โดยมีการเก็บเกี่ยว 4 รอบต่อปี ตั้งแต่ “ชินฉะ” หรือการเก็บเกี่ยวครั้งแรกในฤดูใบไม้ผลิ จนถึงรอบสุดท้ายในเดือนตุลาคม ซึ่งถือเป็นฤดูกาลของการเก็บใบชาเพื่อทำมัทฉะ (Matcha) หรือชาเขียวที่บดเป็นผง

ทายาทเจน 5 ไร่ชาเขียว 150 ปี 'ยามามะ มัตสึดะเอ็น' สานวิถีญี่ปุ่น สู้ยุคโลกร้อน

สำหรับใบชาที่ใช้ในการทำมัทฉะนั้น มักจะมาจากการเก็บเกี่ยวครั้งที่ 3 หรือ 4 ซึ่งเป็นช่วงปลายปี โดยตามกำหนดการ มัทฉะจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคมเป็นต้นไป ความพิถีพิถันเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของฤดูกาลและการจัดการฟาร์มที่สัมพันธ์กับคุณภาพของชาโดยตรง

คุณมัตสึดะเล่าให้ฟังว่า โรงงานเริ่มส่งออกชาตั้งแต่ปี 1991 ปัจจุบันชาของพวกเขาถูกดื่มในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก และตลาดประเทศไทยเองก็ถือเป็นประเทศที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่วมงานกับ 'อินทนิล' เพื่อนำเสนอชาเขียวมัทฉะเกรดพรีเมียม

แต่แม้จะมีประวัติศาสตร์และความยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ชาเขียวญี่ปุ่นก็กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ “สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง”

คุณมัตสึดะยอมรับว่า “ปีนี้ที่ญี่ปุ่นอากาศร้อนจัด” สถานการณ์เช่นนี้สร้างความยากลำบากให้กับไร่ชาเป็นอย่างมาก และเมื่อไร่ชาต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงผิดปกติ สิ่งที่ตามมาโดยตรงคือ “ผลผลิตของชาลดลง” การลดลงของผลผลิตนี้ส่งผลต่อการคัดเลือกชาพรีเมียมโดยเฉพาะ

ทายาทเจน 5 ไร่ชาเขียว 150 ปี 'ยามามะ มัตสึดะเอ็น' สานวิถีญี่ปุ่น สู้ยุคโลกร้อน

ปัจจุบัน โรงงานของคุณมัตสึดะเตรียมชาพรีเมียมไว้ 5 ตันต่อปี สำหรับอินทนิล แม้ว่าปริมาณชาโดยรวมที่พวกเขาจัดการต่อปีจะมากกว่า 100 ตัน แต่การคัดเลือกชาที่ดีที่สุดสำหรับเกรดพรีเมียมนั้น ทำให้ปริมาณที่จัดหาได้มีจำกัด

คำถามที่ผู้เขียนถามต่อไปคือ... คุณมัตสึดะมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูร้อนในระยะยาวหรือไม่?

นี่คือจุดที่ผู้เขียนได้รู้ถึงมาตรการที่ดูธรรมดาแต่น่าสนใจ โดยคุณมัตสึดะเปิดเผยว่า เพื่อรับมือกับความร้อนและเพื่อให้มั่นใจว่าชาจะยังคงเติบโตได้ พวกเขาได้ติดตั้ง “แทงก์น้ำขนาดใหญ่ที่มีความจุถึง 8,000 ตัน”

น้ำจำนวนมหาศาลนี้ถูกสูบขึ้นมาจากแม่น้ำสายใหญ่ที่อยู่ด้านล่างเขา และถูกนำไปใช้ผ่านระบบสปริงเกลอร์ แทงก์น้ำนี้ทำหน้าที่เป็น “มาตรการรับมือความร้อน” เพื่อให้แน่ใจว่าการผลิตชาคุณภาพจะไม่หยุดชะงัก แม้ในวันที่อากาศจะร้อนเพียงใดก็ตาม

นอกเหนือจากการจัดการน้ำ พวกเขายังเน้นการทำฟาร์มที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ว่าไร่ชาของพวกเขาจะไม่ได้เป็นแบบออร์แกนิกทั้งหมด แต่พวกเขาก็ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อลดการใช้สารเคมีเมื่อเทียบกับฟาร์มอื่น

คุณมัตสึดะยังเน้นย้ำว่า การรักษาคุณภาพคือภารกิจสำคัญ หากสภาพอากาศในปีหน้าดีขึ้น (ช่วงเก็บเกี่ยวประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคม) ปริมาณชาพรีเมียมที่สามารถคัดเลือกได้อาจเพิ่มขึ้นจาก 5 ตัน เป็น 7 หรือ 10 ตัน

นอกจากนี้ เพื่อให้มั่นใจในปริมาณและการคงไว้ซึ่งคุณภาพ พวกเขายังมีการร่วมมือกับเกษตรกรรายอื่นๆ ในภูมิภาคต่างๆ ของญี่ปุ่น เช่น ชิซูโอกะ มิเอะ (อิเสะ) และคาโกชิม่า โดยการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ (Know-how) ในการปลูกชา

ทายาทเจน 5 ไร่ชาเขียว 150 ปี 'ยามามะ มัตสึดะเอ็น' สานวิถีญี่ปุ่น สู้ยุคโลกร้อน

ที่ไร่และโรงงานแห่งนี้ยังได้สืบสานวัฒนธรรม “ซาโด” (Sadō) หรือพิธีชงชาญี่ปุ่นอันเป็นศิลปะแห่งความสงบและสมาธิ ตามธรรมเนียมดั้งเดิม การชงชาจะจัดขึ้นในห้องเสื่อทาทามิ ผู้เข้าร่วมต้องนั่งคุกเข่า และทุกขั้นตอนตั้งแต่การรินน้ำ การตีมัทฉะ ไปจนถึงจำนวนครั้งที่ตีเพื่อให้เกิดฟองที่พอดี ล้วนต้องอาศัยความประณีต อาจารย์ผู้มีประสบการณ์ได้ถ่ายทอดการสาธิตอย่างละเมียดละไม สะท้อนถึงแก่นรากทางวัฒนธรรมที่มัทฉะไม่ใช่เพียงเครื่องดื่ม แต่เป็น “ประสบการณ์” ที่เชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติ ศิลปะ และจิตใจของผู้คน

นี่คือความมุ่งมั่นของบริษัทที่มีประวัติยาวนานกว่าศตวรรษ ที่พยายามจะสืบสานวัฒนธรรมดั้งเดิมและผลักดันคุณประโยชน์ต่อสุขภาพของการดื่มชาญี่ปุ่นไปทั่วโลก ภายใต้ความท้าทายของสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นทุกปี