เอกชนจี้รัฐดัน 'พลังงานสะอาด' ดึงลูกค้าต่างชาติด้วย ESG แข่งเวทีโลก!

เอกชนจี้รัฐดัน 'พลังงานสะอาด' ดึงลูกค้าต่างชาติด้วย ESG แข่งเวทีโลก!

ภาคเอกชนจี้รัฐดัน "พลังงานสะอาด" เพื่อแข่งโลก เผยลงทุน ESG-R&D มหาศาล สร้างแต้มต่อธุรกิจดึงดูดลูกค้าต่างชาติ

KEY

POINTS

  • เดลต้าฯ ชี้ทิศทางธุรกิจให้ความสำคัญกับการลงทุนด้าน R&D และ ESG โดยตั้งเป้าใช้พลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2030 (RE100) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  • เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งผลักดันนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยตรง (Green Energy direct PPA) และการเปิดให้บุคคลที่สามเข้าถึงโครงข่ายไฟฟ้า (Third Party access)
  • ชี้ว่าการใช้พลังงานสะอาดและมาตรฐาน ESG เป็นสิ่งที่ลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้ความสำคัญอย่างมาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าและศักยภาพในการแข่งขันของบริษัท
  • เสนอให้ภาครัฐและ BOI สร้างมาตรการส่งเสริมผู้ผลิตในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของประเทศ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ Made in Thailand ที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้

บริษัทเอกชนชั้นนำอย่างเดลต้าฯ ได้ลงทุนมหาศาลในด้านการวิจัยและพัฒนา และมุ่งมั่นที่จะใช้พลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2030 เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ภาครัฐต้องเข้ามาสนับสนุนด้วยนโยบายที่เอื้อต่อการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยตรง เพื่อให้บริษัทต่างๆ สามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษาโครงการ "แนวทางการปรับโครงสร้างภาคการส่งออกเพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยในตลาดโลกให้เติบโตอย่างยั่งยืน" เมื้อวันที่ 15 ส.ค. 2568 

นายกิตติศักดิ์ เงินงอกงาม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายพัฒนาธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  กล่าวในหัวข้อเสวนา "ศักยภาพการส่งออกของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของไทย" ว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท ได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) เพื่อสร้างความยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก

ทั้งนี้ บริษัทมุ่งเน้นการเติบโตใน 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ Power Electronic, Mobility, Automation, และ Infrastructure โดยเฉพาะในด้านโซลูชันพลังงานและการแปลงพลังงาน (Power Conversion) เช่น โซลูชันสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Solution) และ พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) โดยบริษัทได้ลงทุนใน R&D ถึง 8.3% ของรายได้ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 16 รวมถึงอาคาร R&D Center แห่งที่ 9 ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตและพัฒนาสินค้าให้ทันสมัยและแข่งขันได้ในระดับโลก

นอกจากนี้ บริษัทมีการลงทุนในห้องปฏิบัติการและอุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อรับรองมาตรฐานสากล โดยมีการจ้างวิศวกร R&D กว่า 500 คน และมีแผนจะรับเพิ่มอีก 1,000 คน นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรอย่างยั่งยืนผ่านโครงการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย โดยให้นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 3-4 เข้ามาฝึกงานและทำงานในโครงการของบริษัทตั้งแต่เนิ่นๆ หากผลงานดีก็จะได้รับโอกาสเข้าทำงาน และยังสนับสนุนทุนการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ไต้หวัน พร้อมกับกลับมาทำงานที่บริษัท เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่หลากหลาย 

"ความสำคัญของ ESG โดยเฉพาะในด้านสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่ลูกค้าทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เราตั้งเป้าหมายที่จะใช้ พลังงานสีเขียว (Green Energy) ให้ได้ 100% ภายในปี 2030 (RE100) และก้าวสู่การเป็น Carbon Neutrality และ Net Zero ในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าและศักยภาพในการแข่งขันของบริษัท"

ทั้งนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว บริษัทได้ลงทุนสร้างโรงงานโซลาร์ฟาร์มขนาด 6 เมกะวัตต์เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าสำหรับป้อนโรงงาน และยังซื้อใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (iREC) เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า

นอกจากนี้ ยังได้ริเริ่มโครงการภายในเพื่อสร้างแรงจูงใจในการลดการปล่อยคาร์บอน โดยมีการจัดสรรงบประมาณ R&D จากเงินค่าปรับของโรงงานที่ไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ตามเป้า เพื่อนำไปพัฒนาโครงการต่างๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลควรเร่งผลักดันนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยตรง (Green Energy direct PPA) และการเปิดให้บุคคลที่สามเข้าถึงโครงข่ายไฟฟ้า (Third Party access) เพื่อให้บริษัทในประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้น

และให้ความสำคัญของ ห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ในประเทศ โดยภาครัฐและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ต้องสร้างมาตรการและสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมผู้ผลิตในประเทศให้สามารถทำงานร่วมกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างแท้จริงและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ Made in Thailand ที่มีคุณภาพและสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก