จากคำตัดสินศาล สู่ภารกิจ "รมว.เฉลิมชัย" ลุยแก้ PM2.5 ภาคเหนือ ลด Hotspot 40%

จากคำตัดสินศาล สู่ภารกิจ "รมว.เฉลิมชัย" ลุยแก้ PM2.5 ภาคเหนือ ลด Hotspot 40%

คำสั่งศาลปกครองสูงสุดให้ 4 จังหวัดภาคเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ ช่วง ก.พ.–พ.ค. ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน (รมว.ทส.) ขับเคลื่อนภารกิจแก้ไขไฟป่าและ PM2.5 อย่างเป็นระบบและยั่งยืน

KEY

POINTS

  • คำสั่งศาลปกครองสูงสุดให้ 4 จังหวัดภาคเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ ช่วง ก.พ.–พ.ค.
  • .เฉลิมชัย ศรีอ่อน (รมว.ทส.) ขับเคลื่อนภารกิจแก้ไขไฟป่าและ PM2.5 อย่างเป็นระบบและยั่งยืน
  • ยุทธศาสตร์เน้นบูรณาการทุกภาคส่วน ใช้เทคโนโลยีทันสมัยและผลักดันนโยบายเชิงรุก
  • ผลลัพธ์เชิงรูปธรรม Hotspot ลดลง 40.66% ในปีงบประมาณ 2568 เทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
  • ใช้เฮลิคอปเตอร์ 8 ลำ และอากาศยาน 1 ลำ บินภารกิจ 46,855 ชั่วโมง
  • ทิ้งน้ำดับไฟ 502 เที่ยว ปริมาณรวม 521,000 ลิตร

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ 4 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมของทุกปี จากการพบค่าฝุ่น PM2.5 ที่สูงเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื้อรังที่ยังท้าทายการแก้ไขอย่างเป็นระบบ

ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการผลักดันมาตรการเชิงรุกเพื่อต่อสู้กับไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่ภาคเหนือและทั่วประเทศ ด้วยแนวคิดการจัดการที่ยั่งยืน ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

เร่งเครื่องแก้ปัญหา

ดร.เฉลิมชัย ได้นำยุทธศาสตร์ที่เน้น “การบูรณาการ” มาเป็นหัวใจหลัก โดยผนึกกำลังระหว่างภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาช่วยยกระดับการทำงาน ซึ่งส่งผลอย่างมีนัยสำคัญ

โดยในปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 – 19 มิถุนายน 2568) จำนวนจุด Hotspot ลดลงจาก 48,918 จุด เหลือ 29,026 จุด หรือลดลงกว่า 40.66% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

มาตรการเชิงรุกที่นำไปสู่ความสำเร็จ

  • เทคโนโลยีอากาศยานช่วยดับไฟ: ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัลและอากาศยาน สป.ทส. ได้นำเฮลิคอปเตอร์ 8 ลำ และอากาศยานปีกตรึง 1 ลำ ปฏิบัติภารกิจบินลาดตระเวน ดับไฟป่า และลำเลียงเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงรวมกว่า 46,855 ชั่วโมง พร้อมภารกิจทิ้งน้ำดับไฟ 502 เที่ยว ปริมาณน้ำรวม 521,000 ลิต
  • แนวกันไฟกว่า 3,200 กม.: กรมอุทยานแห่งชาติฯ ดำเนินการสร้างแนวกันไฟเพื่อสกัดการลุกลามของไฟป่า ครอบคลุมระยะทางรวมกว่า 3,200 กิโลเมตร
  • เสริมพลังจิตอาสา: การจัดอบรมในหลักสูตร “จิตอาสา” ได้ช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับภาคประชาชนในการมีส่วนร่วมป้องกันและรับมือกับไฟป่า
  • ลงพื้นที่-สั่งการหน้างาน: รัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำปาง กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี เพื่อประเมินสถานการณ์จริงและสั่งการอย่างทันเวลา
  • สนับสนุนอุปกรณ์จากภาคเอกชน: ได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์ดับไฟป่ามูลค่ากว่า 15 ล้านบาทจาก ปตท.สผ. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ภาคสนาม

ปรับนโยบาย–ยกระดับกฎหมาย–เชื่อมโยงข้ามแดน

นอกจากมาตรการภาคปฏิบัติแล้ว ดร.เฉลิมชัย ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเชิงนโยบายและปรับปรุงกฎหมายควบคู่กันไป เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาวอย่างมีระบบ:

  • บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง: เดินหน้าดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกรณีเผาป่า พร้อมประสานผู้ว่าราชการจังหวัดในการประกาศเขตห้ามเผาอย่างเข้มงวด
  • ยกระดับมาตรฐานควันดำ: ผลักดันการลดค่ามาตรฐานควันดำจากรถดีเซล จากเดิมไม่เกิน 30% เป็น 20% เพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษจากยานพาหนะ
  • ระบบสื่อสารแจ้งเตือนล่วงหน้า: พัฒนาและขยายระบบแจ้งเตือนสถานการณ์อากาศผ่าน Air4Thai, ศูนย์สื่อสารมลพิษ (ศกพ.), Line Alert และความร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
  • ร่วมมือประเทศเพื่อนบ้าน: เปิดตัว “แผนปฏิบัติการร่วมภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส 2567-2573” กับ สปป.ลาว และเมียนมา เพื่อควบคุมและลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน ซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งของ PM2.5 ในภาคเหนือ
  • ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาทางกฎหมาย: โดยเฉพาะประเด็นเรื่องนิยาม "พื้นที่ชุ่มน้ำ" ซึ่งยังขัดแย้งกับหลักการ "การใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด" ตามอนุสัญญาแรมซาร์ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่กระทรวงฯ กำลังเร่งหาทางปรับแก้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ

ภาพสะท้อนของผู้นำที่ลงมือจริง

สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา คือบทพิสูจน์ชัดเจนถึงความตั้งใจของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการรับมือกับปัญหาไฟป่าและ PM2.5 ด้วยการดำเนินการที่เป็นระบบ มีเป้าหมาย และสร้างผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในภาคเหนือซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง การทำงานที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วน พร้อมทั้งยึดแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของประชาชน คือเครื่องยืนยันถึงวิสัยทัศน์ของผู้นำที่มุ่งมั่นจะสร้าง “สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน” ให้เป็นจริงในประเทศไทย