ประธานาธิบดีทรัมป์ 2.0 กับอนาคตสิ่งแวดล้อม

เริ่มต้นปีนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เริ่มต้นวาระที่สองในตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา หลังจากเคยมีนโยบายที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงในวาระแรกระหว่างปี 2559-2563
คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ จะเกิดอะไรขึ้นในอีกสี่ปีข้างหน้า ทิศทางด้านสิ่งแวดล้อมโลกจะเป็นอย่างไร
หากย้อนกลับไปดูบทเรียนจากวาระแรกจะเห็นได้ว่า นโยบายที่ผ่านมาของทรัมป์ได้สร้างมรดกแห่งการทำลายสิ่งแวดล้อมขึ้นมา โดยเฉพาะการเพิกถอนหรือผ่อนปรนกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่า 100 ฉบับ หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ถูกยกเลิกคือ แผนพลังงานสะอาดของประธานาธิบดีโอบามา ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้า
รัฐบาลทรัมป์ยังได้ทำให้นโยบายคุ้มครองสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อ่อนแอลง โดยการแก้ไขกฎระเบียบในปี 2562 ภายใต้พระราชบัญญัติสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ (Endangered Species Act) ที่ลดการคุ้มครองสัตว์ในหลายประเด็น
เช่น การตัดสิทธิ์การคุ้มครองอัตโนมัติสำหรับสัตว์ที่อยู่ในสถานะ “เปราะบาง” การจำกัดการพิจารณาผลกระทบระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการอยู่รอดของสัตว์ และการเปิดทางให้มีการพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจในการตัดสินใจอนุรักษ์สัตว์ มากกว่าการใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังลดอำนาจของกฎหมายว่าด้วยนโยบายสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (National Environmental Policy Act หรือ NEPA) ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่กำหนดให้รัฐบาลกลางต้องประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อนอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ โดยมีมาตรการที่อนุญาตให้โครงการที่ “มีการเกี่ยวข้องของรัฐบาลกลางน้อย” สามารถหลีกเลี่ยงการประเมินผลกระทบภายใต้ NEPA ได้ ซึ่งรวมถึงโครงการท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ผลลัพธ์ของนโยบายเหล่านี้สร้างความกังวลอย่างยิ่งต่ออนาคตของสิ่งแวดล้อมในสหรัฐและทั่วโลก เพราะสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการบริหารที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้น มากกว่าการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและความยั่งยืนของระบบนิเวศในระยะยาว
หลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งล่าสุดในปี 2567 โดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการเดินหน้านโยบายที่หันหลังกลับความก้าวหน้าด้านสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง ในวันแรกของการดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวน 26 ฉบับ ยกเลิกนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 80 รายการของรัฐบาลไบเดน
การเปลี่ยนแปลงสำคัญรวมถึงการยกเลิกเครดิตภาษีสำหรับการอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าและโครงการพลังงานสะอาด การระงับโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งของรัฐบาลกลาง และการสั่งให้ตรวจสอบการพิจารณาความเสี่ยงของก๊าซเรือนกระจกโดยสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐ อีกทั้งยังยกเลิกการคำนวณต้นทุนทางสังคมของคาร์บอน ซึ่งมีผลสำคัญต่อการตัดสินใจอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ของรัฐบาล
นอกจากนี้ยังมีการลงนามคำสั่งบริหารให้สหรัฐถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกครั้งเป็นรอบที่สอง ซึ่งตอกย้ำท่าทีของทรัมป์ที่ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลมากกว่าความร่วมมือระดับนานาชาติในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การถอนตัวครั้งนี้ส่งผลให้ความพยายามของโลกในการรับมือกับภาวะโลกร้อนอ่อนแอลง และอาจทำให้ประเทศอื่นๆ ลดความมุ่งมั่นในการดำเนินการด้านสภาพอากาศลงไปด้วย
นโยบายทรัมป์สนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำมันและถ่านหิน โดยเดินหน้าผลักดันแนวทาง “Drill, Baby, Drill” ซึ่งเน้นการขยายการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในพื้นที่ที่เคยได้รับการคุ้มครอง หนึ่งในการตัดสินใจที่เป็นข้อถกเถียงมากที่สุดคือการเปิดเขตอนุรักษ์แห่งชาติ Arctic National Wildlife Refuge ให้มีการขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งเป็นพื้นที่อ่อนไหวทางนิเวศวิทยาที่เคยได้รับความคุ้มครองมายาวนาน
นอกจากนี้มีการยกเลิกคำสั่งห้ามการพัฒนาแหล่งพลังงานในน่านน้ำของสหรัฐครอบคลุมพื้นที่กว่า 625 ล้านเอเคอร์ ซึ่งเปิดทางให้บริษัทพลังงานสามารถดำเนินโครงการขุดเจาะในมหาสมุทรได้อย่างเสรี อีกทั้งยังเดินหน้าผลักดันโครงการท่อส่งน้ำมัน Keystone XL และ Dakota Access Pipeline ที่เคยถูกศาลสั่งระงับด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิของชนพื้นเมือง
นโยบายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าภายใต้การบริหารของทรัมป์ในวาระที่สอง สหรัฐกำลังมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลเหนือประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของโลก
สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) ภายใต้รัฐบาลทรัมป์คาดว่าอาจมีการลดจำนวนพนักงานและลดการดำเนินคดีด้านสิ่งแวดล้อม แต่มุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือกับภาคธุรกิจแทนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด รัฐบาลทรัมป์ยังมีนโยบายให้หน่วยงานของรัฐตรวจสอบกฎระเบียบทั้งหมดที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงาน ระงับหรือแก้ไขข้อบังคับที่เป็นภาระต่อภาคธุรกิจ และทบทวนคดีด้านสิ่งแวดล้อมที่อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อพิจารณาใหม่
ผลกระทบจากนโยบายเหล่านี้คาดว่าจะส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น มลพิษทางอากาศสูงขึ้น และความเสื่อมโทรมของพื้นที่ธรรมชาติและระบบนิเวศที่เปราะบางเพิ่มขึ้น แม้ว่านโยบายของทรัมป์จะช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่มีความเป็นไปได้ที่ผลกระทบเชิงลบอาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาสุขภาพจากมลพิษ
นโยบายสิ่งแวดล้อมของทรัมป์ 2.0 เป็นการกลับสู่แนวทางเดิม เน้นการลดกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล การถอนตัวจากข้อตกลงปารีส และลดบทบาทขององค์กร EPA ในการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อม เปรียบเสมือนหมุนนาฬิกาย้อนกลับและทำให้ระบบนิเวศและสภาพสิ่งแวดล้อมของโลกตกอยู่ในความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น