ถอดบทเรียน 'รางวัลโนเบล' การพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรม และความยั่งยืนสวีเดน

สถานทูตสวีเดน ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดบรรยายพิเศษ: "Honouring the Nobel Prize: What lessons to be learned from developing the Swedish Innovation Ecosystem?" เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2024 อาคารเฉลิมราชกุมารี 60 พรรษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Nobel Prize คือ รางวัลแห่งความสําเร็จและคุณงามความดีในชีวิต ที่สะท้อนถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม การบรรยายครั้งนี้เกิดจากแรงบันดาลใจในจิตวิญญาณของรางวัลโนเบล โดยเชิดชู 2 แนวคิดมิติ คือ • Research and knowledge breakthroughs in the service of society and the economy และ • Innovations and entrepreneurship as engines of societal well-being and economic prosperity
บรรยายโดย เคเจลล์ ฮาคาน นาร์เฟลท์ (Kjell Håkan Närfelt) ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์หลักของ Vinnova หน่วยงานนวัตกรรมแห่งสวีเดน ที่นำทางสะท้อนถึงคุณค่าที่ประสบการณ์จากสวีเดนสามารถมีต่อบริบทอื่นๆ
นายนาร์เฟลท์ พูดถึงประเทศสวีเดนได้ผ่านคลื่นนวัตกรรมหลายคลื่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยมีคลื่นนวัตกรรม 3 ลูกที่สวีเดนผ่านมาแล้ว และตอนนี้กำลังเข้าสู่ลูกที่ 4 ซึ่งเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูง หรือเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และส่งเสริมความยั่งยืน
ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต้องนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการสร้างคุณค่าทางสังคมและเศรษฐกิจ ที่ออกมาจากทรัพย์สินความรู้ โดยการพัฒนาระบบนิเวศเป็นประเด็นสำคัญประการหนึ่ง โดยระบบนิเวศในการบรรยายนี้หมายถึง สภาพชีวิตในแต่ละภูมิภาค ประเทศ ฯลฯ รวมถึงในองค์กร เช่น ในแง่ของเงินทุน บุคลากร โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ
4 คลื่นนวัตกรรมของสวีเดน
- คลื่นแรก (ปลายศตวรรษที่ 19 - ต้นศตวรรษที่ 20): คลื่นนี้โดดเด่นด้วย การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่หนึ่ง และครั้งที่สอง ซึ่งนำมาซึ่งความก้าวหน้าที่สำคัญในกระบวนการผลิต และอุตสาหกรรม เป็นยุคที่เรียกว่า การเปลี่ยนผ่านจากพลังคนสู่เครื่องจักร และจากเกษตรกรรมสู่การสร้างอุตสาหกรรม ในยุคนั้น Ericssion Lars Magnus Ericsson ได้เริ่มต้นร้านซ่อมโทรเลขของเขาใน ปี 1876 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบริษัทที่รู้จักกันในปัจจุบันในชื่อ Ericsson ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่มีความก้าวหน้าสำคัญในด้านการสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยี
- คลื่นที่สอง (กลางศตวรรษที่ 20): คลื่นนวัตกรรมผ่านการวิจัยและพัฒนาขององค์กรและความร่วมมือระหว่างองค์กร สถาบันการศึกษา และรัฐบาล คลื่นนี้ขับเคลื่อนโดย ห้องปฏิบัติการหลายแห่ง เช่น IBM และ Xerox PARC ซึ่งมุ่งเน้นที่ทีมงานที่มีความสามารถสูง และสหสาขาวิชาชีพที่ทำการวิจัยพื้นฐาน
- คลื่นที่สาม (ปลายศตวรรษที่ 20 - ต้นศตวรรษที่ 21): คลื่นนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพ เห็นการเกิดขึ้นมาของบริษัทเล็กๆ ที่ได้รับการสนับสนุนด้านทุนจากภายนอกองค์กร โดยเฉพาะในด้าน IT เทคโนโลยีดิจิทัล และเทคโนโลยีชีวภาพ โดย Spotify ก็ถือกำเนินในช่วงคลื่นนี้
- คลื่นที่สี่ (ปัจจุบัน และต่อไป): สวีเดนกำลังเข้าสู่คลื่นเทคโนโลยีเชิงลึก ซึ่งมุ่งเน้นที่นวัตกรรมที่แก้ ที่รวมเอาเทคโนโลยีหลายอย่างเข้าด้วยกัน คลื่นนี้เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และโซลูชันที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับที่ Tesla และ SpaceX ได้ปฏิวัติวงการของพวกเขา
เทคโนโลยีเชิงลึก
คลื่นนวัตกรรมที่สี่ที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีเชิงลึก (deep tech) กำลังมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาความยั่งยืนอย่างแท้จริง เทคโนโลยีลึกที่รวมเทคโนโลยีทางกายภาพ และดิจิทัลขั้นสูง เข้ามาใช้มากขึ้นในการจัดการกับความท้าทายระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนน้ำ และพลังงานที่ยั่งยืน
นายนาร์เฟลท์ กล่าวด้วยว่า นวัตกรรมที่ยั่งยืนมักถูกขับเคลื่อนโดยการวิจัยและพัฒนา (R&D) นำไปสู่การปรับปรุงทีละเล็กน้อย จนเป็นการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนวัตกรรมเกิดจากธุรกิจใหม่และระบบนิเวศ ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ของ Apple กับอุตสาหกรรมดนตรี และนักพัฒนาแอปสร้างคุณค่าใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เกิด iTune ขึ้นมา
ระบบนิเวศนวัตกรรม
การทำงานภายในระบบนิเวศจะสร้างความสัมพันธ์ใหม่ และคุณค่าใหม่ที่ทำให้เราก้าวไปข้างหน้าโดยสร้างอนาคตร่วมกัน โดยปกติแล้ว คนมักจะเน้นไปที่จุดเชื่อมโยงเช่น ระบบการเงิน แต่การนวัตกรรมที่แท้จริงอยู่ในระบบนิเวศที่เราสร้างขึ้น
ในสวีเดน เรากำลังทดสอบองค์กรหลักในการจัดการพอร์ตโฟลิโอที่ประสานงานกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน และความสัมพันธ์ในระบบนิเวศ
"ลักษณะทางวัฒนธรรมมีความสำคัญมาก เราส่งเสริมชุมชนที่มีความคิดก้าวหน้า ทุกคนได้รับประโยชน์ และแบ่งปันความรู้ ผู้ประกอบการต้องพัฒนาทักษะในการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นที่ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม ความสามารถในการปรับปรุง และพัฒนาธุรกิจ เทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์"
สินทรัพย์ทางปัญญา
ท้ายที่สุด ความสามารถในการจัดการสินทรัพย์ทางปัญญาเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยการยกระดับคุณภาพของสิ่งที่มีสินทรัพย์ทางปัญญามีสามระดับ: ทุนทางปัญญา สินทรัพย์ทางปัญญา และสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
ทุนทางปัญญารวมถึงความรู้ที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ สินทรัพย์ทางปัญญาคือ ความรู้ และวิธีการที่สามารถควบคุมได้ผ่านข้อตกลง และสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาคือ สิ่งที่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมาย
"การจัดการสินทรัพย์ทางปัญญามีความสำคัญมาก เช่นเดียวกับการจัดการการลงทุน และความพยายามในนวัตกรรม นี่ไม่ใช่แค่โครงการพัฒนา แต่มันเป็นกระบวนการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ต้องการการทดลอง ความเข้าใจในสิ่งที่ได้ผล และการนำผลการทดลองไปใช้ แต่ละบริษัทเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของตัวเอง และคุณต้องจัดการสิ่งนี้เพื่อสร้างความเป็นผู้นำด้านการเติบโต"
สรุปแล้ว มีสามด้านสำคัญในการปลดปล่อยศักยภาพนวัตกรรมของสังคม คือ
- การสร้างทุนมนุษย์ผ่านการศึกษา และการฝึกอบรม
- วิศวกรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำการนวัตกรรมไปใช้ในสังคม และตลาด
- การส่งเสริมผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการมุ่งเน้นที่การวิจัย และนวัตกรรม การเป็นผู้ประกอบการเป็นทักษะที่เรียนรู้ได้ ถึงแม้ไม่ใช่ทุกคนจะเป็น Bill Gates แต่หลายคนสามารถเป็นผู้ประกอบการที่ดีได้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์