แนะ“3วิธี”ตรวจสอบบริษัทท่องเที่ยวยั่งยืน แยกให้ออกจากบริษัทฟอกเขียว

แนะ“3วิธี”ตรวจสอบบริษัทท่องเที่ยวยั่งยืน  แยกให้ออกจากบริษัทฟอกเขียว

แนะ“3วิธี”ตรวจสอบบริษัทท่องเที่ยวยั่งยืน โดยทุกวันนี้มักมีข้อกล่าวหาว่าบริษัทท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นบริษัทฟอกเขียว ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนหันมาเดินทางและท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อมมากขึ้น

 ข้อมูลจากสภาการท่องเที่ยวและการเดินทางโลกและบริษัททริปดอท คอมในเดือนม.ค.ระบุว่า เกือบ 60% ของนักเดินทางเลือกทางเลือกต่างๆที่เป็นการเดินทางแบบยั่งยืนในช่วงสองสามปีมานี้  และเกือบ 70% แสวงหาทางเลือกการเดินทางอย่างยั่งยืนอย่างจริงจัง 

แต่“เจมส์ ธอร์นตัน” ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ) Intrepid Travel บริษัททัวร์ เห็นว่า การมองหาบริษัทให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่จริงจังกับความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องง่าย

"คุณจะพบว่าโรงแรมทั้งหลายจะประกาศตัวว่าพวกเขาทำธุรกิจให้บริการอย่างยั่งยืน จากนั้นคุณก็จะพบว่ามีขวดใส่แชมพูและครีมอาบน้ำพลาสติกน้อยมากเวลาที่เดินทางไปพักตามโรงแรมพวกนี้ นั่นเป็นแค่การฟอกเขียว คือการที่บริษัทต่างๆพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ปรากฏแก่สายตาลูกค้าว่าพวกเขาคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเท่านั้นเอง"ธอร์นตัน กล่าวและว่า "เพราะฉะนั้น การที่บริษัทหนึ่งบริษัทใดบอกว่าพวกเขาทำธุรกิจอย่างยั่งยืน100% หรือพวกเขาเป็นพวกตระหนักรู้หรือใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย"

 ความพยายามดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมากควบคู่ไปกับความต้องการการบริการและสินค้าที่สะท้อนถึงความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ การผสมผสานกันระหว่างสิ่งที่ผู้คนรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังกับกลุ่มคนที่โหนไปตามกระแสการตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม และถ่ายรูปเพื่อสร้างภาพไปกับกระแสนั้นผ่านเมล็ดพันธุ์ ต้นไม้หรือป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการทำตลาดของพวกเขาโดยไม่มีการลงมือทำเพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างของพวกเขาเลย 

ซีอีโอบริษัทท่องเที่ยว Intrepid Travel แนะนำนักเดินทางให้พิจารณา3ด้านต่อไปนี้ เพื่อพิจารณาบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน  
แนะ“3วิธี”ตรวจสอบบริษัทท่องเที่ยวยั่งยืน  แยกให้ออกจากบริษัทฟอกเขียว

 1.ประวัติการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน

    เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทนั้นๆดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนหรือไม่ให้ดูที่ประวัติของบริษัทว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนหรือไม่ หรือเป็นแค่สิ่งที่ปรากฏเท่านั้น  ถ้าหากว่าสารเรื่องความยั่งยืนเป็นเรื่องใหม่ของบริษัท บริษัทนั้นไม่น่าจะเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง

 “หากเจอสถานการณ์นี้ ลูกค้าหรือผู้บริโภคต้องใช้เวลาศึกษาเพื่อหารายละเอียดเพิ่มเติมว่าบริษัทนั้นมีประวัติความเป็นมาในการทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแข็งแกร่งหรือไม่ หรือสิ่งที่บริษัทนั้นทำเป็นแค่แผนการตลาด และเป็นเพียงแค่การฟอกเขียวเท่านั้น”ธอร์นตัน กล่าว

2 ตรวจสอบมาตรการลดการปล่อยคาร์บอน

    บรรดานักเดินทางควรดูว่าบริษัทนั้นๆมีมาตรการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือไม่ "ในความเป็นจริงแล้ว บริษัทให้บริการด้านการเดินทางทุกแห่งต้องสนับสนุนการกู้วิกฤติสภาพอากาศเพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่บริษัทด้านการเดินทางสามารถเริิ่มดำเนินการได้คือมีมาตรการต่างๆเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 
 

ธอร์นตัน แนะนำให้นักเดินทางตรวจสอบ the Glasgow Declaration on Climate Action in Tourism  ซึ่งหน้าเว็บไซต์ the Glasgow Declaration on Climate Action in Tourism จะมีลิสต์องค์กรต่างๆที่ตกลงใจร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมีแผนด้านสภาพอากาศที่แสดงให้เห็นถึงการทำงานในด้านนี้ของพวกเขา และต้องมีการตีพิมพ์ลายเซ็นต์ของพวกเขาในแผนด้านสภาพอากาศนั้นๆซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การด้านการท่องเที่ยวโลกของสหประชาชาติ(ยูเอ็นดับเบิลยูทีโอ)

3.มองหาใบรับรอง

    สุดท้ายคือการมองหาการประเมินอิสระที่ปรากฏบนใบรับรองว่าเป็นบริษัทท่องเที่ยวที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง และการจะได้ใบรับรองนี้มาบริษัทต่างๆต้องผ่านการรีวิวจาก B Lab หน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไรและให้การรับรองเป็นระยะเวลาสามปี

   ในส่วนของใบรับรอง B Corp นั้นมีการเก็บค่าธรรมเนียม เริ่มต้นที่ 1,000 ดอลลาร์สำหรับบริษัทที่มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์

   “ค่าธรรมเนียมดังกล่าวถูกมาก โดยเฉพาะถ้าคุณจริงจังกับการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน”ธอร์นตัน กล่าว พร้อมทั้งบอกว่า ในส่วนของบริษัทของเขามีค่าใช้จ่ายสำหรับใบรับรองตกปีละประมาณ 25,000 ดอลลาร์

  ธอร์นตัน ปิดท้ายด้วยการแนะนำนักเดินทางให้ตั้งคำถามเหล่านี้กับบริษัทที่ต้องการเข้าไปใช้บริการว่า เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนหรือไม่ เช่น ใช้พลังงานจากแหล่งพลังานทดแทนหรือเปล่า ทำอาหารจากวัตถุดิบในท้องถิ่นมั้ย จ้างงานจากคนในชุมชนหรือไม่และใครคือเจ้าของโรงแรม