วิธีคลายร้อนง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรม ตามศาสตร์ "แพทย์แผนไทย"

วิธีคลายร้อนง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรม ตามศาสตร์ "แพทย์แผนไทย"

เดือนเมษายนของทุกปี ประเทศไทยจะเข้าสู่ช่วงที่อุณหภูมิสูงที่สุดในรอบปี ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมินี้เอง มีส่วนทำให้ร่างกายของเราร้อนมากกว่าปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการหรือภาวะต่างๆ ตามมา นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เราควรรักษาอุณหภูมิของร่างกาย เพื่อเลี่ยงอาการหรือภาวะผิดปกติต่างๆ

คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในช่วงฤดูร้อนด้วยตนเองตามหลักของศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์ จากบทสัมภาษณ์ พท.ป.ภัคภร บูรณสันติกูล ประจำวิวัฏฏะคลินิก คลินิกแพทย์แผนไทยประยุกต์ และการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ ให้ทุกคนได้ทราบกัน

วิธีคลายร้อนง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรม ตามศาสตร์ "แพทย์แผนไทย"

ปัญหาสุขภาพจากความร้อนที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย

ความร้อนที่สะสมภายในร่างกายอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วย ไม่สบายเนื้อ - สบายตัว เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียน อ่อนเพลีย หน้ามืด เจ็บในช่องปากและลำคอ พบแผลร้อนในช่องปาก เกิดอาการท้องผูก ขับถ่ายลำบาก ทำให้ผิวพรรณแห้งกร้านไม่สดใส เกิดสิวอักเสบขึ้นตามใบหน้า หรือเกิดฝีอักเสบตามลำตัว ซึ่งยิ่งไปกว่านั้น หากร่างกายมีความร้อนสะสมมากก็จะส่งผลเสียทำให้อวัยวะต่างๆ ถูกทำลายจนทำหน้าที่ผิดปกติไป เมื่อร่างกายเกิดการอักเสบบ่อยครั้ง ก็อาจก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยภายในอย่างรุนแรง เช่น เกิดเนื้องอก หรือมะเร็ง เป็นต้น โดยสภาพอากาศร้อนในไทย ยังสามารถมีผลต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และสามารถก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บตามมาอย่างคาดไม่ถึง

อากาศร้อน ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บ  ดังนี้

  • อากาศร้อนจัด สามารถทำให้อาหารเปลี่ยนสภาพได้รวดเร็ว เช่น เกิดการบูดเน่าเสีย ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสปะปน จึงเสี่ยงต่อการเป็น โรคอุจจาระร่วง โรคบิด-อหิวาตกโรค โรคอาหารเป็นพิษ และโรคไทฟอยด์ (โรคไข้รากสาดน้อย)
  • เมื่อร่างกายต้องอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัดสะสมเป็นเวลานาน จะทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หากไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ในทันที จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคลมแดด (Heat Stroke) สามารถเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
  • ในช่วงฤดูร้อนเป็นช่วงที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมักเกิดอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียวได้ง่าย จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษในเรื่องของ โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ (Rabies) เพราะเมื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัขหรือแมวที่ติดเชื้อ กัด ข่วน หรือเลียบริเวณผิวหนังของผู้ที่มีแผล เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ถูกกัด และอาจอันตรายถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้
  • ภาวะเครียดวิตกกังวล (Stress Disorder) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูร้อน ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ โมโหและหงุดหงิดง่าย กระทบต่อความสัมพันธ์ของบุคคลรอบข้าง และส่งผลเชิงลบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซึ่งเป็นเหตุทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมตามมา

"ธาตุเจ้าเรือน" ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์

ก่อนที่จะมาเรียนรู้ว่าตนเองสามารถดูแลสุขภาพตามหลักของธาตุเจ้าเรือนได้อย่างไร ต้องทำความรู้จักธาตุเจ้าเรือนกันก่อนสักเล็กน้อย โดยธาตุเจ้าเรือนแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ

ธาตุแต่ละชนิดมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. ธาตุดิน รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ ผมดกดำ ข้อกระดูกแข็งแรง กระดูกใหญ่ อวัยวะมีความสมบูรณ์ เจ็บป่วยค่อนข้างยาก แต่เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยส่วนใหญ่มักจะเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการขาดการดูแลเอาใจใส่ตนเอง เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน เป็นต้น
  2. ธาตุน้ำ รูปร่างสมบูรณ์ ผิวพรรณสดใสเต่งตึง ท่าทางการเดินมั่นคง พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ทำอะไรช้าๆ เนิบๆ สามารถทนความเย็นได้ดี เมื่อมีอาการเจ็บป่วย มักเกิดขึ้นที่ระบบทางเดินหายใจ จะมีอาการเป็นหวัด หรือภูมิแพ้อากาศได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป นอกจากนี้ ควรระมัดระวังเรื่องระบบเลือดน้ำเหลือง แผลหายช้า และอาการท้องเสีย ท้องร่วง
  3. ธาตุลม รูปร่างผอมบาง ผิวค่อนข้างแห้ง เป็นคนทำอะไรรวดเร็ว ทนความหนาวไม่ได้ ปัญหาสุขภาพที่มักเกิดกับบุคคลธาตุลมคือ อาการนอนไม่หลับ มีอาการปวดท้อง จุกเสียดแน่นเฟ้อ ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี บางครั้งอาจมีภาวะกรดไหลย้อน มักมีอาการปวดตามตัวและข้อต่อ ในผู้ป่วยบางรายให้ระวังเรื่องอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด บ้านหมุนในช่วงฤดูฝน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ธาตุลมจะกำเริบ
  4. ธาตุไฟ รูปร่างปานกลาง ผิวมัน โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า เป็นคนใจร้อน ไฟแรง ทนความร้อนไม่ได้ หิวบ่อย ทานจุ แต่ไม่อ้วน เนื่องจากร่างกายมีระบบเผาผลาญ (Metabolism) ที่ดี ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยก็มักจะเป็น โรคเครียด โรคกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นไข้ ตัวรุมอยู่บ่อยๆ เกิดสิวอักเสบ เป็นฝีหนองตามลำตัว เจ็บคอร้อนใน ท้องผูก เป็นต้น

ช่วงฤดูร้อน ธาตุไฟในร่างกายมีการกำเริบมากกว่าปกติหรือไม่ เพราะอะไร?

ในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่ต้นเดือน มีนาคม ถึงปลายเดือน พฤษภาคม จะเป็นช่วงเวลาที่สมุฏฐานธาตุไฟ (ปิตตะ) กำเริบ ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่โลกโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และประเทศไทยทำมุมตั้งฉากตรงกับดวงอาทิตย์พอดี สภาพอากาศจึงร้อนอบอ้าวมากกว่าปกติ ร่างกายเกิดการสะสมความร้อนเพิ่มขึ้น หรือธาตุไฟกำเริบ ซึ่งหากไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้จนหมด ก็จะทำให้พบปัญหาสุขภาพ เช่น เกิดอาการร้อนใน เป็นแผลในช่องปากบ่อยครั้ง เกิดสิวหรือผดผื่นคันได้ง่าย ท้องผูก ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เกิดภาวะนอนหลับยาก-นอนหลับไม่สนิท เป็นต้น

อาหาร ผัก ผลไม้ และสมุนไพรที่ช่วยลดธาตุไฟในร่างกายมีอะไรบ้าง?

การเลือกรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการดับพิษร้อน และลดการสะสมของความร้อนภายในร่างกาย ซึ่งรายการอาหารที่แนะนำมี ดังนี้

  • อาหารที่มีรสจืด-เย็น เช่น ไก่ตุ๋นฟักเขียวมะนาวดอง ผัดบวบใส่ไข่ แกงจืดตำลึงใส่หมูสับ และแกงจืดผักหวานบ้าน ช่วยทำให้ร่างกายเย็นลง ดับพิษร้อนที่สะสมในร่างกาย ลดอาการเป็นไข้-ตัวร้อน
  • อาหารที่มีรสขมเล็กน้อย-ปานกลาง เช่น ต้มจืดมะระจีนยัดไส้หมูสับ ไข่เจียวดอกแค และใบบัวบกผัดไข่ ก็จะช่วยระบายความร้อน ขับของเสีย และถอนพิษไข้ที่สะสมในร่างกายได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ กลุ่มผัก-ผลไม้ และน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น ก็จัดเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดธาตุไฟในร่างกายได้ 
  • กลุ่มผักที่มีฤทธิ์เย็น ได้แก่ ฟักเขียว บวบ ตำลึง ใบเตย รางจืด แตงกวา มะรุม และกระเจี๊ยบเขียว
  • กลุ่มผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น ได้แก่ แตงโม แคนตาลูป เมล่อน แตงไทย ชมพู่ แก้วมังกร และมังคุด
  • น้ำสมุนไพร ได้แก่ น้ำใบเตยหอม น้ำเก็กฮวย น้ำใบบัวบก น้ำว่านหางจระเข้ และน้ำรากบัว

อาหารที่ควรเลี่ยงเพื่อลดธาตุไฟในร่างกาย?

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงช่วงนี้ ได้แก่ อาหารรสจัด เผ็ดจัด หวานจัด มันจัด เค็มจัด เพราะจะไปกระตุ้นธาตุไฟให้กำเริบมากขึ้น ทำให้เกิดอาการร้อนใน อักเสบ แผลหายช้า

การดูแลสุขภาพโดยทั่วไป เพื่อลดธาตุไฟในร่างกาย ทำได้อย่างไรบ้าง?

  1. ดื่มน้ำอุณหภูมิห้องอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน จะช่วยลดความร้อนภายในร่างกาย
  2. ดื่มน้ำสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น เช่น น้ำใบเตย น้ำเก็กฮวย น้ำย่านาง น้ำมะตูมอ่อน ช่วยให้สดชื่นสบายตัว
  3. สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และมีน้ำหนักเบา เช่น ผ้าฝ้ายบางๆ ผ้าลินิน หรือผ้าชีฟอง เป็นต้น และควรเลือกผ้าโทนสีอ่อนจะช่วยสะท้อนแสงแดดออกไป ทำให้ไม่เกิดความร้อนสะสมในร่างกาย
  4. หลีกเลี่ยงการรับประทานเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และน้ำตาลในปริมาณสูง เนื่องจากจะไปกระตุ้นให้ธาตุไฟในร่างกายกำเริบได้มากขึ้น
  5. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง เพราะจะทำให้กระบวนการในการย่อยอาหารทำงานหนักขึ้น เพิ่มการสะสมของธาตุไฟในร่างกาย
  6. ควรขับถ่ายเป็นประจำเพื่อลดความร้อนและขจัดของเสียที่ตกค้างภายในร่างกาย หากมีภาวะท้องผูกขับถ่ายลำบาก ควรรับประทานผักผลไม้ที่มีใยอาหารสูงจะช่วยทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
  7. หากต้องอยู่ในสถานที่กลางแจ้ง แดดจัด เป็นเวลานาน ควรเตรียมผ้าชุบน้ำเย็น ผ้าเย็น หรือ Cold Pack สำหรับวางประคบลงบนผิวหนังและเช็ดตัวเพื่อเปิดรูขุมขน จะช่วยลดความร้อนภายในร่างกายและทำให้สบายตัวมากขึ้น

การรักษาตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์ด้วยหลักการของธาตุเจ้าเรือนนี้ ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่คนรักสุขภาพ โดยเริ่มจากการปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมตามแต่ละชนิดของธาตุเจ้าเรือน เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารแสลงต่อโรค และรับประทานสมุนไพรที่เหมาะต่อธาตุเจ้าเรือน เพียงเท่านี้ก็จะช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง บรรเทาอาการเจ็บป่วยต่างๆ และฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ

สำหรับผู้ที่สนใจตรวจสอบวิเคราะห์ธาตุเจ้าเรือนและปรึกษาแนวทางการดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพรบําบัด สามารถติดต่อเพื่อนัดหมายได้ที่ วิวัฏฏะคลินิก และการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ Call Center 02-080-5999 หรือ LINE: @psuv