New Startup Law แผนพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพสเปน

New Startup Law แผนพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพสเปน

ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยเขียนถึง J-Start Up โครงการปั้นยูนิคอร์นของญี่ปุ่นกันแล้ว คราวนี้เรามาดูแผนการปั้นสตาร์ทอัพของประเทศสเปนกันบ้าง

จากข้อมูลของเว็บไซต์ startupreal ประเทศสเปนมีบริษัทที่เป็นยูนิคอร์น (สตาร์ทอัพที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และบริษัทสตาร์ทอัพที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐรวมกัน เพียง 9 บริษัทเท่านั้น คือ 

(1) Glovo บริษัทแอปพลิเคชันที่เน้น food delivery และ quick commerce (2) Cabify บริษัทแอปพลิเคชันเรียกรถแนว Uber (3) TravelPerk บริษัทแพลตฟอร์มบริหารจัดการ business travel (4) Jobandtalent บริษัทแอปพลิเคชันแพลตฟอร์มจัดหาพนักงาน 

(5) idealista บริษัทแพลตฟอร์มสำหรับการขายและเช่าอสังหาริมทรัพย์ (6) flywire บริษัทระบบการจ่ายเงินระหว่างประเทศ (7) eDreams บริษัทแพลตฟอร์มสำหรับจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม (8) DEVO บริษัทด้านความปลอดภัยด้านไซเบอร์ (9) wallbox บริษัทธุรกิจด้านสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

หากพิจารณาแค่จำนวนยูนิคอร์นของประเทศสเปน ก็ต้องถือว่าประเทศสเปนว่ามียูนิคอร์นจำนวนน้อยเมื่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส โดยเยอรมนีนั้นมียูนิคอร์นมากที่สุดในสหภาพยุโรปและยูนิคอร์นเกินร้อยละ 40 ของสหภาพยุโรปตั้งอยู่ในเยอรมนี 

แต่ในภาพรวมนั้นถือว่าสหภาพยุโรปมียูนิคอร์นค่อนข้างน้อย โดยมียูนิคอร์นเพียงประมาณร้อยละ 4 ของจำนวนยูนิคอร์นทั่วโลก ทั้งที่ขนาดเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปนั้นมีขนาดประมาณร้อยละ 15 ของขนาดเศรษฐกิจโลก

ในปี 2022 นี้ทางรัฐบาลสเปนมีแผนที่จะออกกฎหมายใหม่ หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า New Startup Law เพื่อสนับสนุนการสร้างและพัฒนาระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพในประเทศและสร้างระบบนิเวศที่ดีที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพในยุโรป

 แต่ที่น่าสังเกตคือนโยบายนี้ไม่ได้เน้นการสร้างยูนิคอร์นแบบชัดเจนเหมือนโครงการ J-Start Up ของประเทศญี่ปุ่นที่เคยนำเสนอไป แต่จะมีความคล้ายคลึงกับนโยบายเรื่องการสนับสนุนสตาร์ทอัพที่รัฐบาลไทยกำลังพิจารณาอยู่
 

ภายใต้ร่างกฎหมายนี้ จะมีนโยบายหลัก ๆ ดังนี้
    การตั้งบริษัทจะง่ายขึ้น เร็วขึ้น และถูกลง จากการจัดลำดับความง่ายในการประกอบธุรกิจโดยภาพรวม (ease of doing business) ของธนาคารโลกในปี 2020 สเปนอยู่อันดับที่ 30 แต่ในส่วนของความง่ายของการเริ่มประกอบธุรกิจ (ease of starting a business) นั้น สเปนอยู่อันดับที่ 97 ของโลกซึ่งถือว่าต่ำสุดในสหภาพยุโรป (ซึ่งต่ำกว่าประเทศไทยที่อยู่ลำดับที่ 47 ในส่วนนี้) 

เนื่องจากใช้เวลาในการตั้งบริษัทค่อนข้างนาน และมีทุนขั้นต่ำสำหรับการจดทะเบียนค่อนข้างสูงรวมถึงมีค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนสูง การแก้กฎหมายครั้งนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ลดขั้นตอนการทำโนตารีพับลิก และจะทำให้สามารถจดทะเบียนบริษัทได้ภายใน 6 ชั่วโมงแทนที่จะเป็น 5 วันเหมือนกรณีทั่วไป

New Startup Law แผนพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพสเปน

Stock option มูลค่า 50,000 ยูโรต่อปี จะไม่เสียภาษีจนกว่าจะขายหรือ IPO อีกส่วนหนึ่งของนโยบายในร่างกฎหมายนี้ของสเปนจะเป็นการยกเว้นภาษีจากรายได้ที่เกิดจากการได้รับ stock option ซึ่งเป็นรูปแบบหลักของการจูงใจพนักงานของสตาร์ทอัพ โดยปรับเพดานการยกเว้นภาษีจากเดิม 12,000 ยูโรต่อปีเป็น 50,000 ยูโรต่อปี และยังมีแผนที่จะชะลอการเก็บภาษีไปจดถึงจุดที่มีการขายหุ้น หรือ IPO อีกด้วย

วีซ่าห้าปีและการลดภาษีสำหรับ digital nomad ส่วนหนึ่งของนโยบายในร่างกฎหมายนี้ของสเปนที่ได้รับความสนใจมาก ๆ น่าจะเป็นการสนับสนุนการเข้ามาทำงานที่สเปนของนักธุรกิจและคนที่สามารถทำงานทางไกลจากที่ไหนก็ได้บนโลก หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า digital nomad ให้เข้ามาทำงานที่สเปน

โดยจะทำให้ระบบวีซ่าง่ายขึ้น และจะให้วีซ่าเป็นระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี และต่ออายุได้ 1-2 ครั้ง ซึ่งนโยบายส่วนนี้จะคล้ายกับนโยบายของโครเอเชียและประเทศไทย  นอกจากนี้จะยังมีนโยบายเพื่อให้ประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมโดยจะลดภาษีสำหรับ non-resident ภายใต้โครงการ digital nomad วีซ่า จากร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 15 

แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ ในขณะเดียวกันก็มีเมืองเล็ก ๆ ประมาณ 30 เมืองในชนบทที่มีจำนวนประชากรน้อยกว่า 5,000 คน ที่เตรียมความพร้อมในการรับ digital nomad ผ่านโครงการ The National Network of Welcoming Villages for Remote Workers (Nacional de Pueblos Acogedores para el Teletrabajo)  

โครงการนี้ยังมีจุดประสงค์ในการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของเมืองในชนบทที่ประชากรวัยหนุ่มสาวนั้นน้อยลดน้อยลงอย่างมาก โดยเมืองเหล่านี้จะเสนอเป็นแพ็คเกจคล้ายกับโฮมสเตย์สำหรับ digital nomad 

แนวคิดของ New Startup Law นั้นมีความคล้ายคลึงกับนโยบายเรื่องการสนับสนุนสตาร์ทอัพของประเทศไทยทั้งที่รัฐบาลไทยได้ประกาศใช้แล้วและที่กำลังพิจารณาอยู่ หากมองในภาพใหญ่ อาจจะเห็นเป็นเทรนด์ได้ว่าหลาย ๆ ประเทศกำลังพยายามดึงดูด digital nomad เพื่อกระตุ้นและเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่โครงสร้างประชากรกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ.