สองผู้นำโลก สองความฝัน สองความท้าทาย | บัณฑิต นิจถาวร

สองผู้นำโลก สองความฝัน สองความท้าทาย | บัณฑิต นิจถาวร

สำหรับ สองผู้นำโลก โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และ สีจิ้นผิงผู้นำจีน นอกจากปัญหาโรคระบาดและเศรษฐกิจที่ต้องให้ความสำคัญแล้ว ปีนี้จะเป็นปีทดสอบความอยู่รอดทางการเมืองของทั้งสองผู้นำและความฝันทางการเมืองของพวกเขาว่าจะเป็นจริงได้หรือไม่

ปีนี้เป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของสองผู้นำท่ามกลางความท้าทายของแต่ละคนที่ต่างกัน นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้


    สำหรับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ปีนี้เป็นปีที่สองของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เรียกว่ามาได้ครึ่งทาง และเป็นปีที่การเมืองสหรัฐจะมีการเลือกตั้ง Mid-term เดือนพฤศจิกายน ที่ประชาชนจะเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภา 435 คน และสมาชิกวุฒิสภา 34 คนจากทั้งหมด 100 คน ทำให้องค์ประกอบของทั้งสองสภาจะเปลี่ยน


    ถ้าพรรคริพับลิกันชนะก็จะคุมสภาผู้แทนราษฎรได้ หรืออาจคุมได้ทั้งสองสภา ซึ่งจะสร้างข้อจำกัดมากต่อการทำงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดนสองปีข้างหน้า ที่สำคัญ ผลการเลือกตั้งจะชี้ทิศทางการเมืองสหรัฐจากนี้ไป ซึ่งหมายถึงอนาคตของพรรคเดโมแครตและประธานาธิบดีโจ ไบเดนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งต่อไปในปี 2024

โจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2020 ตอนอายุ 78ปี เป็นนักการเมืองอายุมากสุดที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก เป็นนักการเมืองอาวุโสที่เห็นมาหมดทั้งความรุ่งโรจน์และความตกต่ำของสหรัฐในฐานะประเทศมหาอำนาจ

โดยเฉพาะผลของนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีเรแกนที่ให้ประโยชน์ชนชั้นนำสหรัฐ แต่ทำลายโอกาสและความเป็นอยู่ของชนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อยจากความเหลื่อมล้ำในเศรษฐกิจสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น 

เห็นความถดถอยของสหรัฐในฐานะประเทศผู้นำในเวทีโลกที่อ่อนแอลงจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2008 และการเติบโตทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของจีน เห็นความเสื่อมถอยของการเมืองสหรัฐที่ทำให้สังคมแตกแยก เห็นความผิดพลาดของนโยบายต่างประเทศสหรัฐ รวมถึงการถอนตัวออกจากเวทีโลกในฐานะประเทศผู้นำสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ที่มองว่าเป็นภาระ ทั้งหมดนี้กระทบสถานะและความน่าเชื่อถือของสหรัฐในฐานะประเทศผู้นำ

สองผู้นำโลก สองความฝัน สองความท้าทาย | บัณฑิต นิจถาวร

ดังนั้น เมื่อไบเดนเข้ารับตำแหน่งโจทย์ทางนโยบายที่ถือเป็นหน้าที่หลักคือ หนึ่ง หยุดวิกฤติโรคระบาด สอง ฟื้นเศรษฐกิจและสร้างความเข็มแข็งให้กับชนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อย สาม ลดความแตกแยกของการเมืองในประเทศและรื้อฟื้นบทบาทสหรัฐในฐานะประเทศผู้นำในเวทีโลก 

ซึ่งในครึ่งปีแรกรัฐบาลไบเดนทำได้ดี มีผลงานให้เห็น เช่น เร่งการผลิตและฉีดวัคซีน เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและชนชั้นกลางอย่างเต็มที่ กระตุ้นเศรษฐกิจโดยลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่น

อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาช่วงครึ่งหลังปีที่แล้วและสายพันธุ์โอมิครอนปีนี้ การถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วที่ถูกมองว่าผิดพลาด และอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัว ทำให้ความเชื่อมั่นในภาวะผู้นำของประธานาธิบดีไบเดนลดลง ล่าสุดผลสำรวจเดือนมกราคมชี้ว่าประชาชนสหรัฐร้อยละ43เห็นด้วยกับผลงานของไบเดน ขณะที่ร้อยละ 56 ไม่เห็นด้วย(Disapprove) เป็นตัวเลขที่ลดลงมากเทียบกับตอนรับตำแหน่ง

ดังนั้น ชัดเจนว่าสำหรับไบเดน ความท้าทายปีนี้คือสร้างการยอมรับในภาวะผู้นำของเขาให้กลับมาโดยเร็วโดยหยุดโรคระบาด เพื่อให้ชีวิตคนอเมริกันกลับคืนสู่ปกติให้ได้เร็วสุด แก้ปัญหาเงินเฟ้อซึ่งเป็นบททดสอบสำคัญของการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลไบเดน และกู้ความเชื่อมั่นในภาวะผู้นำของสหรัฐในเวทีโลกให้กลับคืนมา ทั้งหมดเป็นเดิมพันที่สูง

อีกฝากหนึ่งของโลกคือจีน ที่ปีนี้ผู้นำประเทศคือ ประธานาธิบดี สีจิ้นผิงจะอยู่ในตำแหน่งครบสองเทอมหรือสิบปี แต่สามารถรับตำแหน่งต่อได้เป็นเทอมที่สาม คืออีกห้าปี ภายใต้รัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไขในปี 2018 ให้ประธานาธิบดีสามารถดำรงตำแหน่งได้มากกว่าสองเทอมซึ่งไม่เคยมีมาก่อน

สองผู้นำโลก สองความฝัน สองความท้าทาย | บัณฑิต นิจถาวร  

อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่เทอมสามไม่ใช่เรื่องอัตโนมัติ แต่ต้องผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จะมีการประชุมครั้งที่ยี่สิบปลายปีนี้เพื่อคัดเลือกผู้นำ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสีจิ้นผิงมีภาวะผู้นำความสามารถและความโดดเด่นที่จะทำหน้าที่ผู้นำประเทศ 

ล่าสุดคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเห็นชอบที่จะบันทึกความสำเร็จของประเทศจีนที่เกิดขึ้นในสมัยสีจิ้นผิงให้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์พรรค และเชิดชูสีจิ้นผิงในฐานะผู้นำพรรคในระดับเดียวกับผู้นำอย่างเหมาเจ๋อตุงและเติ้งเสี่ยวผิง แสดงถึงการสนับสนุนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีต่อสีจิ้นผิงขณะนี้

ความสำเร็จของสีจิ้นผิงในฐานะผู้นำประเทศต้องถือว่าโดดเด่นจริงๆ ทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจ ลดความยากจน เอาจริงกับปัญหาคอร์รัปชัน และการทำให้จีนได้รับการยอมรับในเวทีโลกในฐานะประเทศมหาอำนาจ เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นเร็วต่อเนื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน 

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จก็ได้สร้างปัญหาตามมาที่อาจเป็นภัยต่อเสถียรภาพของประเทศในระยะยาว เช่น หนี้ภาคธุรกิจ ความเหลื่อมล้ำในสังคม การพึ่งพาต่างประเทศ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมฟุ้งเฟ้อของระบบทุนนิยม ทำให้ในช่วงเทอมที่สองที่มีการระบาดของโควิด สีจิ้นผิงได้เริ่มนโยบายสามด้านเพื่อสร้างความเข้มแข้งให้กับเสถียรภาพของประเทศคือ 

หนึ่ง ลดการระบาดในประเทศเป็นศูนย์ (Zero Covid) สอง จีนพึ่งตนเองในการเติบโต (Self-reliance) และสาม สังคมเติบโตและมั่งคั่งไปด้วยกัน (Common Prosperity) ทั้งหมดก็เพื่อจัดระเบียบเศรษฐกิจและสังคมจีนหลังประเทศหลุดพ้นจากความยากจน เพื่อให้จีนสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ

แน่นอนสุดทั้งสามนโยบายจะมีแรงต่อต้านมากทั้งภายในและภายนอกจีน โดยเฉพาะจากผู้ที่ได้ประโยชน์จากระบบโลกาภิวัตน์และระบบทุนนิยมที่เคยไร้การควบคุม ดังนั้น ปีนี้ความท้าทายของสีจิ้นผิงคือผลักดันสามนโยบายนี้ให้เดินหน้าต่อเพื่อให้ประชาชนเห็นประโยชน์ และเพื่อประโยชน์ระยะยาวของประเทศและระบบสังคมนิยม แต่ที่สำคัญคือดูแลให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่เทอมที่สามของเขาเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหา และไม่แพ้ภัยตนเอง

ดังนั้น ทั้งโจ ไบเดนและสีจิ้นผิง ปีนี้เป็นปีที่จะต้องให้ความสำคัญมากสุดกับเรื่องภายในประเทศเพราะหมายถึงการครองอยู่ของอำนาจ ผลคือความสนใจของทั้งสองประเทศมหาอำนาจในเรื่องภูมิศาสตร์การเมืองโลกอาจไม่เต็มที่ 

ในเรื่องนี้ ต้องตระหนักว่าในอดีตโลกเคยมีบทเรียนราคาแพงคือ Kindleberger trap ที่ประเทศมหาอำนาจที่เป็นประเทศผู้นำไม่ทำหน้าที่รักษาประโยชน์สาธารณะของโลกในช่วงปี 1930s เปิดพื้นที่ให้อำนาจนิยมสุดโต่งเติบโต จนเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงตามมา นั้นคือการอุบัติขึ้นของสงครามโลกครั้งที่สอง.

สองผู้นำโลก สองความฝัน สองความท้าทาย | บัณฑิต นิจถาวร

คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
ดร.บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
[email protected]