พสุ เดชะรินทร์ : X นั้นมาจากไหน?

พสุ เดชะรินทร์ : X นั้นมาจากไหน?

เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วข่าวทางธุรกิจที่ดังที่สุดหนีไม่พ้นการปรับตัวของกลุ่มไทยพาณิชย์ ที่ออกยานแม่ด้วย SCBX ตามด้วยบริษัทลูกต่างๆ ที่ชื่อลงท้ายด้วย X ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า X คืออะไร? (กรณีของไทยพาณิชย์นั้นเป็นยกกำลัง X)

ไม่ใช่แค่ทางกลุ่มไทยพาณิชย์เท่านั้นที่ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษ X ในชื่อของบริษัท แต่ยังมีธุรกิจอื่นอีกมากมายที่นำตัว X มาใช้ เลยทำให้เกิดข้อสงสัยว่าทำไมตัวอักษร X ถึงได้รับความนิยมและใช้กันมาก

ย้อนกลับไปวัยเด็ก นอกจากในการเป็นตัวอักษรหนึ่งในภาษาอังกฤษแล้ว จะพบเห็นตัวอักษร X มากที่สุดก็คือวิชาคณิตศาสตร์ที่แสดงถึงปัจจัยหรือตัวแปรที่ไม่ทราบค่า ต่อมาก็จะเห็นตัว X ในการ์ตูนและหนัง The X-Men ซึ่งก็มีคำอธิบายของศาสตราจารย์ Xavier ที่ให้กับนักเรียนใหม่ว่า X-Men นั้นมาจากคำว่า Extra Power หรือผู้มีพลังพิเศษ ซึ่งปรากฏในหนังสือการ์ตูน X-Men เล่มแรกที่ตีพิมพ์ในปี 1963

ในเชิงธุรกิจนั้น ในชื่อบริษัทสำรวจอวกาศชื่อดังอย่าง SpaceX ของ Elon Musk ตัวอักษร X ใน SpaceX ก็มาจากชื่อเต็มของบริษัทที่ชื่อ Space Exploration Technologies Corp

อีกหนึ่ง X ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ 10x Thinking ของ Google ที่ระบุว่าเป็นหลักการสำคัญในการคิดและนวัตกรรมของบริษัทเลยทีเดียว Google มองว่าการที่นวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้นั้น แทนที่จะตั้งเป้าให้ดีขึ้นเพียงแค่ 10% จะต้องตั้งเป้าและพยายามที่พัฒนาหรือปรับปรุงในสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น 10 เท่า (หรือ 10x)

นอกจากนี้ บางองค์กรก็เลือกใช้ตัวอักษร X มาใช้แทนคำว่า Exponential Growth (การเติบโตแบบก้าวกระโดด หรือแบบทวีคูณ หรือเลขชี้กำลัง) ซึ่งหลักการของ Exponential Growth นั้นก็อ้างอิงมาจากหลักการทางคณิตศาสตร์ และมักจะถูกนำมาใช้กับการเติบโตของธุรกิจว่าแทนที่จะเติบโตแบบเดิมในลักษณะ Linear (การเติบโตเชิงเส้น) ที่มีลักษณะการเติบโตขององค์กรแบบเส้นตรง ในลักษณะของการค่อยๆ พัฒนาจากเดิมไปเรื่อยๆ ก็เปลี่ยนเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด หรือ Exponential แทน (เช่นกรณีของกลุ่มไทยพาณิชย์ ที่จะมุ่งเน้นการเติบโตแบบ Exponential)

การที่ธุรกิจจะเติบโตแบบก้าวกระโดดได้นั้น จะต้องเปลี่ยนหลักการและวิธีคิดในการดำเนินธุรกิจใหม่หมดเลย ตั้งแต่การตั้งเป้าหมายในรูปแบบของการก้าวกระโดด การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ การเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใหม่ การบริหารองค์กรในรูปแบบใหม่ การร่วมมือกับพันธมิตร หรือความกล้าที่จะลงมือเปลี่ยนแปลง เป็นต้น

นอกจากตัวอย่างข้างต้นแล้ว ยังเห็นการนำตัวอักษร X มาใช้อย่างแพร่หลายหรือเป็นตัวย่อของคำต่างๆ อีกมากมาย ตั้งแต่เทศกาลสำคัญอย่าง Xmas หรือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (Gen X)

หรือเมื่อศิลปินมาทำเพลงร่วมกันก็จะใช้ X คั่นอยู่ตรงกลางระหว่างชื่อศิลปิน เพื่อแสดงถึงความร่วมมือ หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น X-Ray หรือ XBox หรือในวัฒนธรรมตะวันตกนั้น การลงท้ายอีเมลหรือข้อความด้วย X ก็หมายถึงการจูบ แต่ถ้าเป็น xxx ก็จะเป็นการจูบแบบเบาๆ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าตัวอักษร X นั้นมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายและในหลากหลายมิติ ได้มีความพยายามในการหาข้ออธิบายถึงความนิยมดังกล่าว ซึ่งก็มีคำอธิบายที่แตกต่างกันออกไป ทั้งการที่ X มักจะแสดงถึงตัวแปรที่ไม่ทราบค่าในคณิตศาสตร์ ดังนั้น สิ่งใดที่ไม่แน่ใจก็ให้แทนด้วย X ไปก่อน หรือเนื่องจาก X เป็นสัญลักษณ์ที่เขียนได้ง่าย (ลากเส้นสองเส้นตัดกัน)

แต่ขณะเดียวกันก็มีจุดศูนย์กลาง (ตรงที่สองเส้นตัดกัน) หรือเนื่องจากคำภาษาอังกฤษจำนวนไม่น้อย จะขึ้นต้นด้วย Ex... (เมื่อค้นดูแล้วพบว่ามีมากกว่า 1,500 คำ) และเมื่อย่อลงแล้วก็เหลือเพียงแค่ X เช่น Extra, Extreme, Exploration, Exponential, Experience, Exit เป็นต้น

ลองคิดกันดูว่ามีบริษัท สินค้า หรืออะไรอีกที่นำตัว X มาใช้ และคิดว่านำ X มาใช้ด้วยสาเหตุใด