มาตรการฟื้นฟูฯ พระรองที่พึ่งได้ในยุคโควิด

มาตรการฟื้นฟูฯ พระรองที่พึ่งได้ในยุคโควิด

หากเปรียบวัคซีนเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมากอบกู้บ้านเมือง เพื่อให้คนไทยมั่นใจออกมาใช้จ่าย และทยอยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวได้อีกครั้ง

ระหว่างที่พระเอกยังมาไม่ถึง ต้องยอมรับว่า นี่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของเศรษฐกิจไทย จากปีก่อนที่โควิดระลอกแรกผลักให้เศรษฐกิจหดตัวถึง 6.1% จนมาปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้ครึ่งหนึ่ง แต่หากการระบาดยังยืดเยื้อควบคุมไม่ได้ภายในครึ่งปีแรก ไทยอาจฟื้นตัวได้ราว 1 ใน 3 เท่านั้น แม้จะมีภาคการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวดีต่อเนื่องก็ตาม

ปัจจัยเสี่ยง ความไม่แน่นอน ทั้งการระบาดในหลายจุด ไวรัสที่กลายพันธุ์ และการควบคุมโรคที่ยากขึ้น เป็นสิ่งที่ ธปท. ได้ตระหนักถึงและใช้เป็นกรอบคิดในการจัดทำนโยบายบรรเทาผลกระทบต่อทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน ล่าสุดออก“มาตรการฟื้นฟูฯ” หรือ “พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564”ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว (27 พ.ค. 64) ประกอบด้วย 2 มาตรการ คือ

(1) สินเชื่อฟื้นฟูฯ วงเงิน 250,000 ล้านบาท ที่ได้ปลดล็อคเงื่อนไขของ พ.ร.ก. Soft Loan ปี 63 เพื่อให้ SMEs ที่มีศักยภาพเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น สามารถประคับประคองกิจการ และพยุงการจ้างงานผ่านเส้นทางวิบากนี้ไปได้

(2) โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ (Asset warehousing) วงเงิน 100,000 ล้านบาท เป็นกลไกใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบหนักและใช้เวลานานในการฟื้นตัว ให้ไม่ต้องแบกรับภาระทางการเงินหรือถูกกดราคาบังคับขายทรัพย์สิน (fire sale) และมีโอกาสกลับมาทำธุรกิจได้อีกครั้งเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ซึ่งมีส่วนช่วยรักษาศักยภาพของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ให้พร้อมกลับมาเป็นกำลังสำคัญของประเทศอีกครั้งในระยะยาว

มาตรการฟื้นฟูฯ เริ่มใช้เมื่อ 26 เม.ย. 64 แทบจะพร้อมกับการระบาดระลอกสาม ได้รับบทเป็น “พระรอง” ที่แม้จะคิดมาดีอย่างไร ก็คงไม่ถูกใจในทุกด้าน แต่นั่นก็ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการส่งผ่านมาตรการไปสู่ผู้ที่เดือดร้อน โดย ณ วันที่ 31 พ.ค. 64 สินเชื่อฟื้นฟู มีการเบิกใช้แล้ว 20,839 ล้านบาท แก่ SMEs 8,218 ราย คิดเป็นวงเงินเฉลี่ย 2.5 ล้านบาทต่อราย และถือว่าสินเชื่อกระจายตัวถึงผู้ได้รับผล กระทบได้ค่อนข้างดี ทั้งในมิติขนาด ประเภทธุรกิจ และภูมิภาค ดังรูปที่แสดงว่า 59% ของผู้ได้รับสินเชื่อเป็น SMEs ขนาดเล็ก 69% อยู่ในธุรกิจพาณิชย์และบริการ และ 66% เป็นกิจการในต่างจังหวัด


อีกทั้งยังเริ่มเห็นสัญญาณการปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ใหม่ที่ไม่เคยใช้สินเชื่อกับสถาบันการเงิน อันเป็นจุดที่สินเชื่อฟื้นฟูฯ ได้ปรับขยายให้ ล่าสุดในสัปดาห์นี้มีการยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูฯ เพิ่มอีกกว่า
10,000 ล้านบาท ขณะที่ โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว 4 ราย ยอดอนุมัติ 910 ล้านบาท ทั้งหมดอยู่ในธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบหนัก

162307614193

ความคืบหน้าโครงการในช่วงเดือนแรกนั้น แม้จะไม่หวือหวา แต่ก็ไม่ผิดจากที่คาดนัก โดยในส่วนของสินเชื่อฟื้นฟู ได้ประเมินไว้ว่า ความต้องการสินเชื่อจะทยอยเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ใน 3 ระยะ คือ ประคับประคอง กลับมาเปิดกิจการ และลงทุนปรับรูปแบบธุรกิจ จึงไม่น่าแปลกใจว่าในช่วงแรกที่ยังมีการระบาดนี้ ความต้องการสินเชื่อจะเป็นไปเพื่อใช้หมุนเวียนจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้างของ SMEs สายป่านสั้นที่ถูกซ้ำเติมเป็นหลัก ในระยะถัดไป เมื่อพระเอกมาถึงได้ทยอยฉีดวัคซีนจนลดการแพร่ระบาดได้น่าจะเริ่มเห็นเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อกลับมาเปิดกิจการ ปรับรูปแบบธุรกิจรองรับโลกยุคหลังโควิด ซึ่งในช่วงฟื้นฟูนั้น พ.ร.ก. ฉบับนี้ได้ออกแบบไว้รองรับแล้ว โดยเผื่อระยะเวลายื่นกู้ไว้ถึง 2 ปี และคาดว่าสินเชื่อในระยะถัดไป อาจมีลักษณะเป็น term loan ที่ยาวถึง 10 ปี ตามกลไกการค้ำประกันที่ได้ปรับเงื่อนไขและเพิ่มอัตราการชดเชยความเสียหายให้รองรับความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น

ในระหว่างที่รอกองทัพวัคซีนมาสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) เรียกคืนความมั่นใจ ทุกภาคส่วนไม่ได้นิ่งนอนใจ ต่างประสานความร่วมมือเพื่อลดอุปสรรคและเร่งตอบโจทย์ผู้ประกอบธุรกิจที่เดือดร้อนให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น อาทิ โครงการของสมาคมผู้ค้าปลีกไทยร่วมกับสถาบันการเงิน ที่จัดทำแพลต ฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินระหว่างห้างขนาดใหญ่และ SMEs คู่ค้า เพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อฟื้นฟูในลักษณะ “supply chain lending” ตลอดจนสร้างกลไกหักค่าขายสินค้าและบริการของร้านค้าในการชำระคืนหนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจแก่สถาบันการเงิน ลดปัญหาความไม่เพียงพอของข้อมูล ร่นระยะ เวลาการพิจารณาปล่อยกู้ และเร่งกระจายเม็ดเงินสู่ SMEs ที่ขาดสภาพคล่องได้ตรงเป้าหมายยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกับ โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ซึ่งเป็นมาตรการใหม่ที่มีรายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ทั้งการพิจารณาตีโอนทรัพย์ชำระหนี้ รวมถึงเช่าทรัพย์เพื่อดูแลหรือเปิดดำเนินการ จึงต้องอาศัยระยะเวลาที่สถาบันการเงินกับลูกหนี้จะต้องเจรจาตกลงเป็นรายกรณี อย่างไรก็ดี ธปท. ได้กำชับสถาบันการเงินให้เร่งหาข้อสรุปร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อให้ช่วยเหลือได้อย่างทันการณ์ ทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอื่นที่ได้รับผลกระทบหนัก จากผลสำรวจของสมาคมโรงแรมไทยล่าสุด พบว่า หลายแห่งสนใจอยู่ระหว่างเจรจากับสถาบันการเงิน น่าจะเห็นการทยอยอนุมัติเพิ่มขึ้น หลังครม. ได้อนุมัติ (18 พ.ค. 64) ยกเว้นภาษีค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทั้งหมด ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเร็ววันนี้

ดังนั้น มาตรการฟื้นฟูฯ ที่ได้เปิดตัวไป แม้จะไม่ใช่พระเอก แต่ก็ถือว่าเป็นพระรองที่มาได้ทันเวลา ช่วยเพิ่มทางเลือกในการบริหารสภาพคล่อง และปรับโครงสร้างหนี้แก่ธุรกิจ เพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากนี้ไปได้ โดย ธปท. ร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ จะติดตามความคืบหน้าและประสิทธิผลของมาตรการอย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินผลกระทบภายใต้สถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง เพื่อนำมาปรับปรุงมาตรการให้ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างเหมาะสม ตรงจุด และทันการณ์.

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

บทความโดย

เมธินี เหมริด รองผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและกำกับสถาบันการเงิน 

สุขใจ ว่องไวศิริวัฒน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค

จิตา จีรเธียรนาถ เศรษฐกรอาวุโส ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ 

ธนาคารแห่งประเทศไทย

162307678113