ต่อยอด SME ไทย  ให้โตได้ ด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่การเงิน

ต่อยอด SME ไทย  ให้โตได้ ด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่การเงิน

SME มีความสำคัญมากแค่ไหน อาจลองดูว่าในชีวิตประจำวันเราได้ข้องเกี่ยวกับสินค้า-บริการ-การผลิต จาก SME บ้างหรือไม่

*บทความโดย ยศ วัชระคุปต์

ข้อมูลในปี พ.ศ. 2563 พบว่า ประเทศไทยมี Small and Medium Enterprises (SME) หรือ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จำนวน 3 ล้านกว่าราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.8 ของจำนวนวิสาหกิจทั้งประเทศ มีความสำคัญไม่ใช่เพียงเข้าถึงผู้บริโภค-ผู้รับบริการในทุกพื้นที่ แต่ยังมีการจ้างงานกว่า 12 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 82.2 ของการจ้างงานทั้งประเทศ และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจำนวน 6,551,718 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42.2 ของ GDP

เมื่อธุรกิจ SME อยู่รอด ภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่แท้จริง (Real Sector) ก็จะอยู่รอดได้เช่นกัน แต่ SME ไทยอาจไม่สามารถอยู่รอดได้ง่าย ซึ่งไม่ใช่เพราะไม่มีศักยภาพ แต่สภาพแวดล้อมไม่เอื้อให้เกิดการต่อยอด เติบโต  โดยเฉพาะเมื่อติดปัญหาด้านการเงิน เพราะขาดโอกาสได้มาซึ่งสินเชื่อ เนื่องจากการประเมินความน่าเชื่อถือต่อ SME ในประเทศไทย เน้นให้ความสำคัญกับข้อมูลด้านการเงินเป็นหลัก ซึ่งตามเกณฑ์การประเมินดังกล่าว SME มักมีงบการเงินไม่น่าเชื่อถือ ขาดระบบบัญชีที่ดี และไม่มีการเก็บเอกสารการค้าอย่างเป็นระบบ เกณฑ์ประเมินนี้จึงมีความไม่เหมาะสมกับบริบทและคุณลักษณะของ SME

การศึกษา การกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ที่ถือเป็นช่องทางระดมทุนที่สำคัญที่สุดสำหรับ SME ไทย ในปี พ.ศ. 2556 พบว่า SME มียอดการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์รวม 4 ล้านล้านบาทและมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอัตราเฉลี่ยที่สูงกว่าร้อยละ 10 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน SME ของไทยส่วนใหญ่ยังมีปัญหาไม่สามารถใช้บริการทางการเงินของสถาบันการเงินในระบบได้เท่าที่ควร

โดยสินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME ต่อยอด ของธนาคารพาณิชย์ในช่วงปี พ.ศ. 2557-2561 มี แนวโน้มลดลงและมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 34-35 และเมื่อพิจารณาสัดส่วนสินเชื่อ SME ต่อยอดสินเชื่อรวมพบว่า ของไทยอยู่ที่ระดับร้อยละ 50.5 ในปี พ.ศ. 2560 ซึ่งยังน้อยเมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ

หากเกณฑ์การประเมินสำหรับ SME ถูกจำกัดตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือด้วยข้อมูลทางการเงินเท่านั้น SME ไทยจะขาดโอกาสต่อยอดธุรกิจ

ดังนั้นเพื่อขยายศักยภาพให้กับ SME เพิ่มแต้มต่อในการเข้าถึงแหล่งเงินสำหรับต่อยอดธุรกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จึงได้เสนอ นำข้อมูลตัวชี้วัดข้อมูลด้านที่ไม่ใช่การเงิน (non-financial data) หรือข้อมูลเชิงคุณภาพ 4 ส่วน มาพิจารณาเพิ่มเติม ได้แก่ 

(1) ข้อมูลด้านกิจการ/สถานประกอบการ เช่น ระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน สุขภาพ เครือข่าย การพัฒนาบุคลากร

(2) ด้านการตลาด  เช่น ส่วนแบ่งตลาด/อันดับในตลาด ช่องทางการขาย

(3) ด้านการผลิตสินค้า/บริการ เช่น การทำ R&D และการยื่นขอทรัพย์สินทางปัญญา และ

(4) ด้านข้อมูลอื่นๆ เช่น ข้อมูลดิจิทัล

แนวทางนี้ มีหลายหน่วยงานเก็บข้อมูลอยู่บ้าง แต่ยังไม่มีการทำอย่างเป็นระบบและไม่ถูกให้ความสำคัญมากเท่าข้อมูลการเงิน ต่างจากในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ที่ได้ใช้ข้อมูลที่ไม่ใช่การเงินถึงร้อยละ 75 มาพิจารณาให้คะแนนความน่าเชื่อถือและต่อยอดธุรกิจ SME ในกลุ่ม start-up

สำหรับประเทศไทย ผลการศึกษาพบว่ามีความเป็นไปได้หากแก้ไขอุปสรรคและข้อจำกัด ดังนี้

ข้อจำกัดในการเรื่องข้อมูล SME ทำให้ไทยยังไม่มีฐานข้อมูล SME  ที่ผ่านมาการเก็บข้อมูลของ SME ยังกระจายตัวอยู่ตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ โดยบริษัท ข้อมูลเครดิต แห่งชาติ จำกัด (NCB) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมาเป็นการเฉพาะสำหรับเก็บข้อมูลพฤติกรรมการเงินของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แต่ข้อมูลที่เก็บได้ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็น SME หรือไม่

ส่วนแหล่งทุนประเภทธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะ และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) นั้น แม้ว่าสามารถระบุว่าเป็นผู้ประกอบการ SME ได้ แต่มีข้อมูลเฉพาะ SME ที่มาขอใช้บริการเท่านั้น อีกทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่มีข้อมูลไม่ได้มีการแชร์ข้อมูลกัน จึงเป็นข้อจำกัดในการสร้างฐานข้อมูล SME ระดับประเทศของไทย ในขณะที่ กรณีศึกษาในต่างประเทศมีระบบฐานข้อมูลระดับประเทศ อันได้แก่ FIBEN ของประเทศฝรั่งเศส CRD ของ ประเทศญี่ปุ่น และ KED ของประเทศเกาหลีใต้

เมื่อการเก็บข้อมูลกระจัดกระจาย ทำให้เกิดปัญหาที่สองตามมาคือ ทำให้แต่ละหน่วยงานทำการประเมิน ความน่าเชื่อถือของ SME ได้เฉพาะกลุ่มที่มีข้อมูล นี่คือปัญหาที่ประเทศไทยควรมีหน่วยงานประเมินความน่าเชื่อถือของ SME เป็นการเฉพาะ

ขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ ถึงแม้ว่าสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะเป็นหน่วยงานหลักที่สนับสนุน SME แต่เนื่องจากผู้ประกอบการ SME ในระดับ micro มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 85.7 ของผู้ประกอบการ SME และ กลุ่มนี้ไม่ค่อยเข้าสู่ระบบจึงเป็นข้อจำกัดในการระบุเป้าหมายได้ ส่งผลให้ความช่วยเหลือของภาครัฐอาจไม่ครอบคลุมไปถึงได้

นอกจากนี้ ecosystem ของประเทศไทยไม่จูงใจให้ SME เข้าสู่ระบบ เช่น การออกนโยบายที่จะนำจำนวนธุรกรรม online มาใช้ในการประเมินภาษีของกรมสรรพากร ทำให้ SME ลังเลที่จะใช้ e-payment เนื่องจากกังวลในการเสียภาษีและยังคงซื้อขายด้วยเงินสด อันเป็นอุปสรรคต่อการนำข้อมูลด้านที่ไม่ใช่การเงินมาใช้ประเมินความน่าเชื่อถือของ SME

แน่นอนว่าตัวชี้วัดด้านการเงิน (financial data) ย่อมมีความเหมาะสมมากกว่าในการนำมาคิดประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของ SME แต่ในความเป็นจริง SME (โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา) ไม่ได้มีความพร้อมทางด้านข้อมูลและบัญชีทางการเงินถึงขนาดที่จะนำมา  วิเคราะห์ความน่าเชื่อถือได้ ด้วยเหตุนี้ข้อมูลด้านที่ไม่ใช่การเงิน  (non-financial data) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการที่จะเสริมหนุน ให้ SME มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น.