ปรับบทบาท กทม. การบ้านอีกข้อผู้ว่าฯ ใหม่ | ทีดีอาร์ไอ

ปรับบทบาท กทม. การบ้านอีกข้อผู้ว่าฯ ใหม่ | ทีดีอาร์ไอ

ทีดีอาร์ไอ จัดงาน "ตรวจการบ้านผู้ว่าฯ เดิม เติมโจทย์ให้ผู้ว่าฯ ใหม่" เสนอรายงานการประเมินผลงานผู้ว่าฯ อัศวิน และข้อเสนอแนะสำหรับผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UddC-CEUS) ร่วมกันจัดงาน "ตรวจการบ้านผู้ว่าฯ เดิม เติมโจทย์ให้ผู้ว่าฯ ใหม่" เพื่อเสนอรายงานการประเมินผลงานผู้ว่าฯ อัศวิน และข้อเสนอแนะสำหรับผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ 

ในรายงานดังกล่าว นอกจากมีข้อเสนอผู้ว่าฯ คนใหม่ จะต้องแก้ไขโจทย์สำคัญของกรุงเทพฯ อย่างน้อย 9 ด้าน ได้แก่ การวางผังเมือง การจราจรและความปลอดภัย การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การจัดการขยะมูลฝอย การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การจัดระเบียบหาบเร่แผงลอย การส่งเสริมทักษะเพื่อการประกอบอาชีพ การศึกษา และการรักษาพยาบาล 

ผู้ว่าฯ คนใหม่จะต้องปรับแนวทางการทำงาน จากเป็นผู้ให้บริการ (service provider) เองส่วนใหญ่หรือทั้งหมด สู่การเลือกเล่นบทบาทที่หลากหลาย ตามลักษณะของปัญหาที่ต้องแก้ไข ทรัพยากรและความพร้อมของแต่ละภาคีที่เกี่ยวข้อง ตามโมเดล “การบริหารจัดการแบบเครือข่าย” (network governance)

รายงานมีข้อเสนอให้ กทม. ปรับแนวทางการทำงาน สาเหตุเพราะกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงที่มีลักษณะโตเดี่ยวและใหญ่กว่าเมืองอันดับรองถึง 10 เท่า จึงมีปัญหาต่าง ๆ ที่ซับซ้อนอย่างน้อย 9 ด้าน จะยิ่งมีความท้าทายมากขึ้นในอนาคต จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก (global climate change) ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงใหม่ๆ แก่ กทม.

การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและมีความท้าทายนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่า กทม. จะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมในการบริหารจัดการสูงสุดในประเทศ ทั้งในด้านกำลังคนและงบประมาณ โดยมีงบประมาณเกือบ 8 หมื่นล้านบาทในแต่ละปีก็ตาม เพราะหลายปัญหาจะไม่สามารถทำได้หากปราศจากการปรึกษาหารือและการสร้างส่วนร่วมในการทำงานกับภาคีต่างๆ

ผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง จึงควรทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ตามโมเดล “การบริหารจัดการแบบเครือข่าย” (network governance) ทั้งการทำงานอย่างบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ ที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหาของ กทม. 

ตลอดจนประสานงานกับธุรกิจเอกชน ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพและวิสาหกิจเพื่อสังคม ภาควิชาการ อาสาสมัครและภาคประชาสังคมต่าง ๆ ที่มีอยู่จำนวนมากและสนใจปัญหาที่หลากหลาย

การทำงานกับเครือข่าย กทม. จะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ให้บริการ (service provider) เองส่วนใหญ่หรือทั้งหมด มาสู่บทบาทที่หลากหลาย โดยคงบทบาทเป็นผู้กำหนดนโยบาย (policymaker) และผู้กำกับดูแล (regulator) ที่ยังจำเป็นไว้ แต่เพิ่มการปรึกษาหารือกับสาธารณะมากยิ่งขึ้น

ขณะที่เพิ่มบทบาทการเป็นผู้ซื้อบริการ (service purchaser) ผู้เชิญหารือ (convenor) ผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) และผู้ให้ความชอบธรรม (legitimizer) แก่ภาคีภาคสังคมให้มากขึ้น ทั้งนี้ การจะเลือกเล่นบทบาทไหน จะขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาที่ต้องแก้ไข ทรัพยากรและความพร้อมของแต่ละภาคีที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างเช่น ในด้านการจัดการการศึกษา รายงานดังกล่าวชี้ว่า ที่ผ่านมา กทม. แก้โจทย์ผิดข้อ คือ การมุ่งขยายโรงเรียนมัธยมในสังกัดของตน ทั้งที่จำนวนนักเรียนลดลงและมีโรงเรียนมัธยมในสังกัดอื่น รวมถึงภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการศึกษาจำนวนมากใน กทม. แต่ยังไม่ได้ร่วมมือกันเท่าที่ควร 

กทม.ควรนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่ไปใช้แก้ปัญหาให้เกิดผลสำเร็จ เช่น จัดสรรครูให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละโรงเรียน จัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ และเป็นต้นแบบในการปฏิรูปการศึกษาระดับประถมให้มีคุณภาพสูง โดยพัฒนาหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้ในรูปแบบใหม่ สร้างพื้นที่เรียนรู้สำหรับเด็กทุกช่วงวัย ทั้งศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ศูนย์เยาวชน พิพิธภัณฑ์และห้องสมุดและศูนย์การเรียนรู้ในพื้นที่ต่าง ๆ โดยทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ

เช่นเดียวกับด้านการรักษาพยาบาล ที่แม้ว่า กทม. จะเป็นศูนย์กลางด้านการรักษาพยาบาล มีโรงพยาบาลหลายแห่ง อีกทั้งเป็น medical hub แต่การเข้าถึงบริการรักษาพยาบาลในกรุงเทพฯ กลับมีความเหลื่อมล้ำสูง เพราะคนรายได้น้อยเข้าถึงโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนได้ยาก 

ทั้งนี้ กทม. ไม่ควรสร้างโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเอง แต่ควรขยายศูนย์บริการสาธารณสุขให้เป็นศูนย์รักษาพยาบาลของชุมชน รับหน้าที่รักษาผู้ป่วยในเบื้องต้น พร้อมวางระบบการคัดกรองและส่งต่อผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติมไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยประสานงานกับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลเอกชน

การจัดการด้านการศึกษาและการรักษาพยาบาล เป็นเพียงสองเรื่องจากอีกหลายเรื่องที่ กทม. โดยการนำของผู้ว่าฯ คนใหม่ ต้องปรับบทบาทการทำงานใหม่ ซึ่งในรายงานยังนำเสนอประเด็นด้านการเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่ควรจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม ไม่ให้กระจุกตัวในบางเขต และใช้ประโยชน์จากพื้นรกร้างใน กทม. มาจัดทำพื้นที่สีเขียวเพิ่ม 

ด้านผังเมือง ควรผลักดันการใช้ผังเมืองเฉพาะหรือผังเมืองระดับย่าน ให้เป็น “ธรรมนูญของท้องถิ่นที่ประชาชนในย่านมีส่วนร่วมในการออกแบบเมือง ในด้านการจัดการขยะ ควรศึกษาพฤติกรรมการทิ้งขยะของแต่ละชุมชนอย่างเป็นระบบ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบจัดการขยะต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ที่เหมาะสมและมีส่วนร่วมของชุมชน

ด้านการจราจรและความปลอดภัย ควรลงทุนสร้างความปลอดภัยแก่คนเดินเท้า โดยติดสัญญาณไฟแดงที่ทางม้าลาย พัฒนาป้ายรถเมล์ให้ครอบคลุม ลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะให้เชื่อมต่อการเดินทางทั้งบนถนนสายหลักและซอย 

ด้านการบรรเทาสาธารณภัย ควรเพิ่มจำนวนสถานีดับเพลิงและจัดหาอุปกรณ์เพิ่ม ทำแนวกันน้ำถาวรในพื้นที่ฟันหลอ ทำระบบเตือนภัยน้ำท่วม และสำรวจจุดเสี่ยงจากภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 

ด้านการทำมาหากิน-หาบเร่แผงลอย ควรมุ่งสร้างสมดุลระหว่างผู้ใช้พื้นที่ทางเท้ากลุ่มต่างๆ มากกว่าการห้ามใช้พื้นที่ทางเท้าโดยสิ้นเชิง โดยบริหารจัดการหาบเร่แผงลอยแบบรายพื้นที่ ตามโมเดลพื้นที่อัตลักษณ์ ซึ่งให้ผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์ในพื้นที่ และใช้แนวทาง “การกำกับดูแลร่วม” (co-regulation) กับผู้ค้า และจัดหาพื้นที่ถาวรเพิ่มเติมในทำเลที่เหมาะสมมากขึ้น ดังตัวอย่างของสิงคโปร์ 

ด้านการฝึกทักษะอาชีพ ควรออกแบบและปรับปรุงหลักสูตรร่วมกับนายจ้าง ให้สามารถฝึกทักษะอาชีพสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และวางกลไกติดตามประเมินผลการฝึกอาชีพ การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและมีความท้าทายทั้งหมดนี้ต้องมีการปรึกษาหารือและการทำงานร่วมกับภาคีต่าง ๆ

นอกจากการปรับบทบาทเพื่อบริหารงานอย่างน้อย 9 ด้านแล้ว ในระยะยาว ผู้ว่าฯ คนใหม่ ควรขับเคลื่อนให้เกิดการปรับโครงการสร้างการกระจายอำนาจ โดยหารือและต่อรองกับรัฐบาลกลางอย่างเหมาะสม 

หาก กทม.สามารถปรับบทบาทและบริหารจัดการได้ดี ก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อการกระจายอำนาจให้แก่ อปท.ทั้งหลายให้เดินหน้าต่อไปจนทุกจังหวัดมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ในอนาคต