สหกรณ์ฯ กฟผ.อู้ฟู่ สินทรัพย์ปี 2564 กว่า 1.3 แสนล้าน ปันผล 4.85%

สหกรณ์ฯ กฟผ.อู้ฟู่ สินทรัพย์ปี 2564 กว่า 1.3 แสนล้าน ปันผล 4.85%

วิกฤติโควิด-19 กระทบต่อเศรษฐกิจโลก มาจนถึงราคาข้าวของแพง เอกชนหลายบริษัทต่างปิดตัว ที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้คงหนีไม่พ้นหน่วยงานราชการ-รัฐวิสาหกิจ คนมีเงินจะฝากเงินกับธนาคารต่างๆ ดอกเบี้ยนั้นแสนถูก การตั้งสหกรณ์ถือเป็นทางเลือกที่ดีให้กับพนักงาน

นายพูนสุข โตชนาการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์อมทรัพย์การไฟฟ้าฝ้ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด (สอ.กฟผ.) กล่าวถึงผลการดำเนินงานของ สอ.กฟผ. ว่า ณ สิ้นปี 2564 มีสินทรัพย์จำนวน 138,914 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,190 ล้านบาทจากปี 2563 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินรับฝาก 9,349 ล้านบาท และทุนเรือนหุ้น 2,157 ล้านบาท สอ.กฟผ. นำไปบริหารจัดการให้เกิดรายได้ 5,734 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 184 ล้านบาท ซึ่งมีค่าใช้จ่าย 3,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 593 ล้านบาท เป็นผลจากค่าดอกเบี้ยจ่ายสูงขึ้น 180 ล้านบาท เพราะมีเงินรับฝากเพิ่มขึ้นและต้องรับรู้การด้อยค่าหุ้นกู้การบินไทยอีก 383 ล้านบาท

ทั้งนี้ มีกำไรสุทธิ 2,636 ล้านบาท โดย สอ.กฟผ. มีมติให้เสนอที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 อนุมัติการจ่ายปันผลในอัตรา 4.85% นับว่ายังสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเงินปันผล ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์และสหกรณ์อื่นๆ ที่ปี 2564 ลดลงจากปี 2563 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบของหุ้นกู้ บมจ.การบินไทย เช่นเดียวกันกับ สอ.กฟผ.

อย่างไรก็ตาม หากเป็นสถานการณ์ตามปกติปี 2564 สอ.กฟผ. มีผลประกอบการ ดังนี้ รายได้ 5,734 ล้านบาท มากกว่ารายได้ ปี 2563จำนวน 184 ล้านบาท รายจ่าย 2,715 ล้านบาท มากกว่ารายจ่าย ปี 2563จำนวน 210 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,019 ล้านบาท น้อยกว่า ปี 2563 จำนวน 26 ล้านบาท แต่เนื่องจากต้องรับรู้การด้อยค่าหุ้นกู้การบินไทย ตามหนังสือแจ้งจากกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ อัตราร้อยละ 5 ของมูลค่าหุ้นกู้ฯ คิดเป็นเงินประมาณ 383 ล้านบาท ดังนั้น ทำให้มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 383 ล้านบาท รวมเป็น 3,098 ล้านบาท และส่งผลให้กำไรสุทธิลดลงเหลือ 2,636 ล้านบาท

จากการรับรู้การด้อยค่าฯ ทำให้ สอ.กฟผ. มีกำไรสุทธิลดลง และในขณะเดียวกันมีทุนเรือนหุ้นเพิ่มขึ้นจากปี 2563 จำนวน 2,157 ล้านบาท ส่งผลให้จ่ายเงินปันผลได้ในอัตราที่น้อยลง ทั้งนี้ คณะกรรมการดำเนินการได้ตระหนักถึงความสำคัญของเงินปันผลที่สมาชิกคาดหวังให้เป็นแหล่งเงินไว้ใช้จ่ายดำรงชีพและวงเงินการตั้งด้อยค่าฯ จำนวน 383 ล้านบาทนั้น

ทำให้อัตราการจ่ายเงินปันผลลดลง ประมาณร้อยละ 0.72 และได้นำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 เพื่อพิจารณาอนุมัติให้นำเงินทุรักษาระดับเงินปันผลจำนวน 246 ล้านบาท มาสมทบกับกำไรสุทธิ 2,636 ล้านบาท เพื่อให้สามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราที่เหมาะสมร้อยละ 4.85 และอัตราการจ่ายเฉลี่ยคืนร้อยละ 10.00