รัฐแก้ปัญหาทุนเทาอย่าให้เป็นการ ‘ฟอกเทา’

    โดยที่ผ่านมามีกลไกหลายส่วนที่กำกับดูแลผ่านการตรวจสอบของฝ่ายความมั่งคง กระบวนการยุติธรรม รวมถึงสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่มีกฎหมายเพราะในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน แต่ดูเหมือนว่ากลที่มีอยู่ไม่สามารถป้องกันและปราบปรามทุนสีเทาและเงินผิดกฎหมาย
    ที่ผ่านมานายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินเพื่อยกระดับการติดตามตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัย ออกมายอมรับว่าธุรกรรมการเงินที่ไหลเข้ามาเป็นธุรกรรมที่ต้องสงสัยมักจะถูกนำไปฟอกผ่านการซื้อทองคำ, การซื้ออสังหาริมทรัพย์, การซื้อรถหรูหรือการซื้อเพชร ซึ่งแสดงว่าภาครัฐมีข้อมูลระดับหนึ่งและเหลือเพียงการเข้าตรวจสอบผ่านกลไกที่มี

    การแก้ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของหลายฝ่าย โดยล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เดินหน้าปรับบทบาท ธปท.ครั้งใหญ่ ซึ่งเข้ามาดูข้อกฎหมายที่จะดำเนินการจัดระเบียบเงินผิดกฎหมายของทุนสีเทา โดยเฉพาะธุรกรรมเสี่ยงที่ไม่เคยเห็นข้อมูลมาก่อน รวมถึงเข้าไปดูแลร้านทอง ร้านแลกเงิน และผู้ให้บริการ e-Wallet ที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของธุรกรรมที่นำไปฟอกผ่านการซื้อทรัพย์สินบางประเภท ถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามของหน่วยงานรัฐ

    ปปง.ที่มีอำนาจโดยตรงของการตรวจสอบเส้นทางเงินที่กฎหมายของบรรดาทุนสีเทาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ความสำคัญอย่างแข็งขันกับการป้องกันและปราบปรามทุนสีเทาภายใต้การกำกับดูแลของนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ ปปง.รวมทั้งถึงเวลาที่หน่วยงานรัฐจะร่วมมือหาทางแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง และดูระบบการตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อหาช่องโหว่ของกฎหมายที่ทำให้ทุนสีเทาขยายวง
    ถึงแม้ว่ากฎหมายปัจจุบันของแต่ละหน่วยงานจะมีข้อจำกัดในการแก้ปัญหานี้ไม่ว่าจะเป็น ปปง., ธปท. รวมถึงคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แต่ถ้ารัฐบาลมีความเอาใจใส่และเอาจริงเอาจังกับปัญหานี้ก็เชื่อว่าจะหากลไกที่ป้องกันและปราบปรามได้ แต่ถ้ารัฐบาลนิ่งเฉยหรือขาดความจริงจังในการแก้ปัญหาจะทำให้ท้ายที่สุดยังเกิดกระบวนการ “ฟอกเทา” ที่ธุรกิจผิดกฎหมายหรือธุรกิจที่สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยยังคงดำเนินการได้เสมือนการดำเนินธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมาย