‘วรภัค‘ เผย IMF คาดการณ์ GDP โลกปี 68 ฟื้นตัวเปราะบางที่ 3.2%

รมช.คลัง จบภารกิจบินประชุม World Bank-IMF เผย IMF คงคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 68 โต 3.2% ชี้ 'ฟื้นตัวเปราะบาง' ท่ามกลางความเสี่ยงรุมเร้า
นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมประจำปีระหว่างธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประจำปี 2025 ณ วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่า IMF ยังคงคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ไว้ที่ 3.2% แต่ย้ำว่าเป็นภาวะ "การฟื้นตัวที่เปราะบาง" ซึ่งยังคงเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างและความไม่แน่นอนทางภูมิเศรษฐกิจสูง
ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยัง "โตอย่างจำกัด"
นายวรภัคกล่าวว่า แม้ตัวเลข 3.2% ในปี 2568 และคาดการณ์ที่ 3.1% ในปี 2569 จะสะท้อนว่าเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวได้ แต่ IMF มองว่านี่เป็นการเติบโตในระดับที่ไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบจากการชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา หรือลดช่องว่างรายได้ระหว่างประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ แม้มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่ประกาศใช้เมื่อเดือนเมษายน 2568 จะสร้างแรงกดดันต่อการค้าโลก แต่ผลกระทบโดยรวมยังคง "จำกัด" เนื่องจากมีข้อตกลงทางการค้าและข้อยกเว้นบางประการช่วยบรรเทาผลกระทบ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวยังคงบั่นทอนความเชื่อมั่นและโอกาสที่เศรษฐกิจจะเร่งตัวขึ้นในระยะกลาง
5 ความเสี่ยงสำคัญ ฉุดรั้งเศรษฐกิจ
สำหรับความเสี่ยงขาลง (Downside Risks) 5 ประการที่ IMF กังวลเป็นพิเศษ และอาจฉุดรั้งให้เศรษฐกิจโลกเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ได้แก่
1. ความตึงเครียดทางการค้า หากความขัดแย้งทางการค้ายกระดับรุนแรงขึ้น อาจส่งผลให้ผลผลิตของโลกลดลงได้ถึง 0.3%
2. ฟองสบู่เทคโนโลยี การลงทุนที่ร้อนแรงในภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ คล้ายวิกฤตดอทคอมในอดีต ซึ่งอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางต่างๆ ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและสร้างความผันผวนในตลาดการเงินโลก
3. ความเปราะบางของเศรษฐกิจจีน รูปแบบการเติบโตของจีนที่พึ่งพาการส่งออกมากเกินไป ประกอบกับปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ยังคงเป็นจุดเสี่ยงสำคัญที่อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
4. ข้อจำกัดทางการคลัง หลายประเทศยังคงมีหนี้สาธารณะในระดับสูงและยังไม่สามารถสร้าง "พื้นที่ทางการคลัง" (Fiscal Space) ได้เพียงพอ ทำให้เปราะบางต่อภาวะดอกเบี้ยสูง
5. แรงกดดันต่อธนาคารกลาง การเรียกร้องให้ผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วเกินไป อาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือในการควบคุมเงินเฟ้อ และสร้างความเสี่ยงในระยะต่อไป
ยังมีโอกาสเชิงบวก หากบริหารความเสี่ยงได้ดี
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทาย IMF ยังมองเห็นโอกาสเชิงบวก (Upside Potential) ที่สามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกได้ หากมีการบริหารจัดการที่ดี
"IMF ชี้ว่า เทคโนโลยี AI มีศักยภาพมหาศาลในการเพิ่มผลิตภาพทั่วโลก หากเราสามารถบริหารความเสี่ยงไม่ให้กลายเป็นฟองสบู่ได้" นายวรภัคกล่าว
นอกจากนี้ การลดความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย เช่น การบรรลุข้อตกลงทางการค้า จะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและการลงทุนได้อย่างมาก
โอกาสอื่นๆ ยังรวมถึงการปฏิรูปเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่มีประสิทธิภาพ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรม ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในระยะยาว
นายวรภัคกล่าวทิ้งท้ายว่า ข้อสรุปเชิงนโยบายที่สำคัญจากการประชุมครั้งนี้คือ โลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญ โดยมี "การค้า (Trade)" และ "เทคโนโลยี (Tech)" เป็นตัวแปรหลัก หากความตึงเครียดทางการค้าลดลงและการลงทุนใน AI นำไปสู่การเพิ่มผลิตภาพได้จริง ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลกจะมีนัยสำคัญ
"สรุปได้ว่า เราอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ การตัดสินใจเชิงนโยบายในวันนี้ โดยเฉพาะเรื่องการค้าและเทคโนโลยี จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในอีกหลายปีข้างหน้า ดังนั้น การบริหารความเสี่ยงเชิงมหภาคจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับทุกประเทศ" รมช.คลังกล่าวสรุป







