กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Sovereign Wealth Fund (2) | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ

ครั้งที่แล้ว ผมเล่าถึงความจำเป็นที่ทำให้ควรกลับมาพิจารณาเรื่อง การตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติ เพราะทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงินมีข้อจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานะทางการคลังของรัฐบาลไทย
ที่มีความสี่ยงที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ หากไม่สามารถลดการขาดดุลงบประมาณ และจีดีพีที่ยังจะขยายตัวที่ระดับต่ำต่อไป
แต่หลายคนจะเป็นห่วงว่า การตั้งกองทุนความมั่งคั่งดังกล่าวมีความเสี่ยง 2 เรื่องหลักคือ 1. เป็นกองทุนที่เสี่ยงต่อการคอร์รัปชัน และ 2. จะทำให้ประเทศไทยอาจมีทุนสำรองไม่เพียงพอ เช่นที่ได้เกิดขึ้นแล้วในปี 2540
สำหรับข้อกังวลข้อแรกนั้น ผมขอยกตัวอย่างกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่จัดตั้งขึ้นในเดือนมีนาคม 2540 ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งไม่กี่เดือน เป็นกองทุนที่นำเอาเงินบำเหน็จบำนาญของข้าราชการกว่าหนึ่งล้านคนไปลงทุนระยะยาว เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูง
แต่ควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งในความเห็นของผม กบข.ประสบความสำเร็จในระดับที่ค่อนข้างดีคือให้ผลตอบแทนตั้งแต่ปี 2540 เฉลี่ยประมาณ 6% ต่อปี
มูลค่าของกองทุน กบข. จึงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนกระทั่งวันนี้มีมูลค่าประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท แปลว่าข้าราชการแต่ละคนเฉลี่ยมีสินทรัพย์ใน กบข. เกือบหนึ่งล้านบาท
กบข. นั้นเดิมทีลงทุนในประเทศเป็นหลัก แต่ต่อมาก็ได้รับการอนุมัติให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าปัจจุบัน คือ สามารถลงทุนในต่างประเทศได้สูงถึง 60% ของพอร์ต และยังสามารถลงทุนในตลาดเอกชนและสินทรัพย์ทางเลือกได้ทั่วโลก เช่น ลงทุนในโรงไฟฟ้า ตราสารทุนเอกชนและทองคำ เป็นต้น
แปลว่า คนไทยมีศักยภาพที่จะบริหารเงินจำนวนมากๆ และลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลก และได้ทำประโยชน์ให้กับข้าราชการโดยถ้วนหน้าไปแล้ว นอกจากนั้น กบข. ก็ยังได้คะแนนด้านการกำกับดูแล ความยั่งยืนและความแข็งแกร่ง ร่วมกันถึง 92% (การกำกับดูแลได้คะแนน 9/10 ความยั่งยืน 9/10 และความยืดหยุ่น 5 จาก 5) กล่าวคือ คนไทยทำได้และทำแล้ว
สำหรับความกลัวว่า ทุนสำรองจะมีไม่พอในภาวะฉุกเฉินนั้น ผมขออธิบายดังนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งคือ การตรึงอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้ให้คงที่ (fixed exchange rate) แต่ประเทศไทยเปลี่ยนจากระบบดังกล่าว มาเป็นการปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนปรับตัวขึ้น-ลงได้
ตามปัจจัยพื้นฐานและความต้องการของตลาดเงิน ทำให้ความเสี่ยงที่ทุนสำรองจะมีไม่เพียงพอลดลงไปอย่างมากในช่วงกว่า 25 ปีที่ผ่านมา
ผมได้นำเอาตัวเลขอย่างเป็นทางการของธนาคารแห่งประเทศไทยมายืนยัน ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับดุลชำระเงินของไทย ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่รวม 20 ปี ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
ดุลชำระเงิน ประเทศไทยจะสูญเสียทุนสำรองเมื่อเกิดการขาดดุลชำระเงิน (Balance of Payments deficit) ในแต่ละปี ซึ่งหากดูตัวเลขดุลชำระเงินของประเทศไทย ก็จะพบว่า มีเพียง 4 ปีจาก 20 ปี ที่เกิดการขาดดุลชำระเงิน คือ ช่วงที่ไทยมีปัญหาทางการเมือง (2513-2514) และช่วงหลังการระบาดของโควิด 19 (2565-2566)
และมูลค่าการขาดดุลที่สูงที่สุดคือปี 2565 ที่ 10,230 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปีอื่นๆ อีก 16 ปีนั้น ไทย “เกินดุล” ทั้งสิ้น ทำให้เฉลี่ยมีเงินไหลเข้าประเทศปีละ 9,860 ล้านเหรียญ
ปริมาณทุนสำรองที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากไทยเกินดุลชำระเงินเฉลี่ยปีละเกือบ 10,000 ล้านเหรียญ จึงทำให้ทุนสำรองเพิ่มขึ้นอย่างมาก กล่าวคือจากประมาณ 56,000 ล้านเหรียญในปี 2548 มาเป็น 260,000 ล้านเหรียญในปี 2567
ตัวเลขล่าสุด ทุนสำรองกลางเดือนกันยายน 2568 มีมากถึง 272,000 ล้านเหรียญ กล่าวคือ ปริมาณทุนสำรองของไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8% ต่อปี และส่วนใหญ่มีแต่เพิ่มขึ้นโดยลดลงเพียง 4 ปี ดังที่กล่าวข้างต้น
คำถามต่อมาคือ ไทยมีทุนสำรองส่วนเกินประมาณเท่าไหร่? ตรงนี้ ไอเอ็มเอฟได้ประเมินอย่างละเอียดถี่ถ้วนตามหลักวิชาการในช่วง 2554-2558 จนได้จัดทำเกณฑ์ที่เรียกว่า Assessing Reserve Adequacy (ARA) Metric
โดยคำนวณความต้องการทุนสำรองจาก ปริมาณการส่งออก ปริมาณเงินในระบบ ปริมาณหนี้ต่างประเทศระยะสั้นและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น สถิติการไหลออกของเงินทุน โดยมีเกณฑ์ว่าทุนสำรองจะต้องมีเท่ากับ 100%-150% ของ ARA Metric
สำหรับของไทยนั้น ล่าสุดที่ไอเอ็มเอฟได้ประเมินเศรษฐกิจร่วมกับฝ่ายไทยในปี 2567 ที่มีทุนสำรองประมาณ 240,000 ล้านเหรียญ และสรุปว่า ทุนสำรองของไทยเท่ากับ 239% ของ ARA Metric แปลว่าไทยมีทุนสำรองเกินความจำเป็นขั้นสูงสุด (คือ 150% ของ ARA Metric) ประมาณ 90,000 ล้านเหรียญ
เนื่องจากวันนี้ ทุนสำรองรองของไทยเพิ่มขึ้นไปแล้วเป็น 272,000 ล้านเหรียญ ดังนั้น ไทยจึงจะสามารถตั้งกองทุนความมั่งคั่งมูลค่ากว่า 100,000 ล้านเหรียญได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยง หรือผลกระทบในแง่ลบครับ
*ติดตามอ่าน....
กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Sovereign Wealth Fund (ตอนที่ 1)
กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Sovereign Wealth Fund (ตอนที่ 3)







