กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ Sovereign Wealth Fund (1)

ผมเคยเสนอว่า ประเทศไทยควรจะนำทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนเกินออกมาตั้ง “กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ” (sovereign wealth fund) มากว่า 10 ปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้มีการตอบสนองให้มีความคืบหน้าในเรื่องนี้แต่อย่างใด
มาวันนี้ ทุนสำรองของประเทศไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอีกประมาณ 100,000 ล้านเหรียญ ทำให้สามารถยืนยันได้ว่า ประเทศไทยมีทุนสำรองส่วนที่เกินความจำเป็นอย่างน้อย 100,000 ล้านเหรียญ
นอกจากนั้น มาถึงวันนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า รัฐบาลไทยมีศักยภาพด้านนโยบายการคลัง (fiscal policy space) เหลืออยู่น้อยมาก เพราะขาดดุลงบประมาณสูงถึง 3% ของจีดีพีหรือมากกว่า
นอกจากนั้นหนี้สาธารณะก็อยู่ที่ระดับสูงใกล้ 60% ของจีดีพี จึงทำให้เสี่ยงที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ ในขณะที่ “หนี้นอกระบบของภาครัฐ” (quasi fiscal debt) ก็สูงอยู่ที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท
ในส่วนของนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็บอกว่า ไม่อยากลดดอกเบี้ยนโยบายมากไปกว่าระดับปัจจุบันมากนัก และมองว่าลดดอกเบี้ยไปก็จะยังไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอได้ เพราะธนาคารพาณิชย์ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าปล่อยกู้เพิ่มในภาวะที่ครัวเรือนมีหนี้สินสูงเกินเกณฑ์อยู่แล้ว
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ก็เผชิญปัญหาไม่สามารถแข่งขันได้ (ธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ได้และมีทางเลือกคือ ออกตราสารหนี้ขายตรงให้กับนักลงทุน)
อีกประเด็นที่สำคัญคือ ธปท. มีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน องค์กรอื่นๆ รวมทั้งรัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงในการตัดสินใจ และการดำเนินการด้านนโยบายการเงินของ ธปท. ได้
ดังนั้น จึงต้องกลับมาดูที่ภาครัฐว่า มีทางเลือกอะไรบ้างที่จะสามารถเพิ่มศักยภาพของนโยบายการคลัง เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งในหลักการก็จะมีอยู่ 2 ทางเลือกคือ
การหารายได้เพิ่ม ได้แก่ การเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น เช่น การยกเลิกการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ 7% ให้กลับมาเป็น 10% ตามที่กำหนดอยู่ในกฎหมาย หรือการเก็บภาษีประเภทใหม่ๆ เช่น แนวคิดที่จะเก็บภาษีนักท่องเที่ยว หรือการเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นเป็นต้น.
อีกด้านหนึ่งคือ การต้องลดรายจ่ายของภาครัฐ ซึ่งประมาณ 70-80% ลดไม่ได้ เพราะเป็นเงินเดือนข้าราชการหรือเงินช่วยเหลือประเภทต่างๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลและสวัสดิการต่างๆ เช่น เบี้ยคนชรา เงินบำนาญ ดังนั้น ส่วนที่พอจะลดได้ก็จะต้องเป็นงบประมาณที่ใช้เพื่อการลงทุน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต
จึงจะเห็นได้ว่าทั้งการปรับขึ้นภาษีและการลดรายจ่าย เพื่อให้รัฐบาลมีวินัยทางการคลังนั้น เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยากมากในทางการเมือง เว้นแต่ในกรณีที่ได้เกิดวิกฤติขึ้นแล้ว
อีกแนวทางหนึ่งคือ การที่ภาครัฐหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นให้กับสินทรัพย์ที่เป็นของภาครัฐ ซึ่งในกรณีของประเทศไทยนั้นมีอยู่ 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นทรัพย์สินของภาครัฐที่ถือโดยกระทรวงการคลัง มีมูลค่าประมาณ 23 ล้านล้านบาท (ส่วนนี้ผมจะยังไม่กล่าวถึงในครั้งนี้) และอีกส่วนหนึ่งคือ ทุนสำรองที่ถือครองโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
ทุนสำรองระหว่างประเทศนั้น เป็นเงินที่กันเอาไว้เพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอในการทำธุรกรรมกับต่างประเทศ กล่าวคือ เวลาที่ประเทศไทยทำการค้าขายสินค้าและบริการ ตลอดจนการลงทุนกับต่างประเทศนั้น ส่วนใหญ่จะไม่สามารถใช้เงินบาทในการทำธุรกรรมดังกล่าวได้ ยกเว้นการค้าที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านที่มั่นใจในเงินบาทไม่น้อยไปกว่าเงินสกุลของประเทศตัวเอง
การต้องใช้เงินที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลกคือ เงินเหรียญสหรัฐ เงินยูโร เงินปอนด์ เงินเยน หรือเงินหยวนนั้น ทำให้เราต้องมีทุนสำรอง ที่เป็นเงินตราดังกล่าว หากเกิดการขาดแคลนสภาพคล่องในระยะสั้นก็จะไม่ส่งผลกระทบกับการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
แต่การมีสภาพคล่องที่มากเกินนั้น ย่อมทำให้เสียโอกาสในการได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม ปัจจุบันประเทศไทยมีทุนสำรอง 272,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ตัวเลขกลางเดือนกันยายน 2568) หรือ 52% ของจีดีพี
ลองนึกภาพดูว่า หากคุณหรือผมมีเงินเดือนปีละ 520,000 บาท (จีดีพีไทย) แต่เก็บเงินสดเอาไว้ที่บ้านเพื่อสำรองเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน 270,000 บาทตลอดเวลา ก็น่าจะมากเกินจำเป็น
มีเงินสำรอง เท่ากับรายได้ซัก 4 เดือน (170,00 บาท) ก็น่าจะพอแล้ว จึงสามารถนำเอาส่วนเกินที่เหลือประมาณ 100,000 บาท ไปลงทุนในสินทรัพย์ ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เช่น แทนที่จะฝากเงินระยะสั้นได้ดอกเบี้ย 1-2% ต่อปี ก็นำไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทน 4-5% ต่อปี หรือลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทน 7-8%ต่อปี เป็นต้น
การคัดค้านการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ จะมาจาก 2 ด้าน คือ กลัวว่าจะมีการโกงกินกันแบบกองทุน 1MDB ของมาเลเซีย และกลัวว่า เมื่อทุนสำรองลดลงก็อาจนำไทยไปสู่วิกฤติ เช่นที่เกิดขึ้นในปี 2540 ซึ่งผมจะเขียนถึงทั้ง 2 เรื่องนี้ในครั้งต่อไปครับ







