ปัญหาในเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย

ปัญหาในเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่พ้นตำแหน่งในวันที่ 30 กันยายน กล่าวถึงการคาดหวังรัฐบาลใหม่ว่า รัฐบาลควรจะเน้นการสร้างแรงจูงใจให้เอกชนปรับตัว

และเพิ่มผลิตภัณฑ์ (Productivity) ระยะยาว พร้อมกับลดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ (Regulatory Guillotine) รวมไปถึงให้ความสำคัญกับเสถียรภาพการคลัง 

เนื่องจากตอนนี้ ไทยถูกปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือแล้ว ดังนั้น การดำเนินมาตรการอะไรจึงจำเป็นต้องอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง นอกจากนั้น รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวควบคู่กับระยะสั้น รวมทั้งได้ฝากการบ้าน ธปท.สานต่อ เช่น

- ไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก จากครัวเรือนทั้งประเทศ 24 ล้านครัวเรือน ครัวเรือนกลุ่มคนรวย 240,000 ครัวเรือน มีสินทรัพย์เท่ากับ 13 ล้านครัวเรือนที่มีฐานะยากจน

- การเร่งกระบวนการแก้หนี้ครัวเรือนจะต้องทำต่อ การปรับโครงสร้างหนี้ก็ต้องทำต่อ ที่สำคัญการแก้หนี้ให้ยั่งยืนจะต้องทำควบคู่กับการเพิ่มรายได้ของประชาชน เพราะหากวันนี้ เราสามารถเสกหนี้เก่าของคนไทยให้หมดไปได้ แต่ในสภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ เขาก็ต้องกู้มาอีก เพราะรายได้ไม่พอรายจ่าย

- เอสเอ็มอีที่หาสภาพคล่องยาก ที่ผ่านมาสินเชื่อเอสเอ็มอีลดลง 6% ปัญหามาจากความเสี่ยงของเอสเอ็มอีที่เพิ่มขึ้น

- โครงการ your data ที่หวังว่าจะได้เห็นการออกมาตรการเพื่อช่วยให้รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อได้หลากหลายมากขึ้น

ผมเห็นด้วยกับคำแนะนำของท่านผู้ว่าฯ ทุกประการ และปัญหาระยะยาวในเชิงโครงสร้างของไทยนั้น มีอยู่หลากหลายปัญหามาก และที่สำคัญก็ได้มีการพูดคุยกันอย่างแพร่หลายและยาวนาน จนเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปแล้ว ผมจึงจะไม่ขอกล่าวถึงปัญหาดังกล่าวซ้ำอีก แต่รัฐบาลปัจจุบันนั้น เงื่อนไขทางการเมืองกำหนดให้สามารถทำงานบริหารประเทศได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น 

ดังนั้น เราจึงเห็นภาคเอกชนเสนอมาตรการต่างๆ ที่เป็นมาตรการระยะสั้นที่สามารถส่งผลได้ทันที เพราะการนำเสนอมาตรการเพื่อการปฏิรูปที่จะต้องใช้เวลาขับเคลื่อนจะบรรลุผลได้ยาก

ประเทศไทยจึงจะยังอยู่ในกรอบของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เรียกว่า “quick win” ต่อไปอีก จนกระทั่งมีรัฐบาลใหม่ในไตรมาส 2 ของปีหน้า ที่หวังว่าจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชน (และศาลรัฐธรรมนูญ) ให้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่องไปอีก 4 ปี

ดังนั้น ใน 4-5 เดือนข้างหน้า เราจึงจะได้เห็นมาตรการที่เคยนำมาใช้แล้วถูกปรับนำมาใช้อีก ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นมาตรการเดิมๆ ที่ใช้มาแล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะไม่ตอบโจทย์การปฏิรูปประเทศหรือการทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักการเป็นประเทศรายได้ระดับปานกลาง (middle income trap) แต่อย่างไร 

คือมาตรการเอาเงินในอนาคตมาจุนเจือภาวะตกต่ำที่เผชิญอยู่ในขณะนี้ เช่น คนละครึ่ง, ไร่ละ 1,000 บาท, พักชำระหนี้, เที่ยวด้วยกัน และ Easy E-Receipt แล้วหากจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจริงๆ จะทำได้อย่างไร? จะเริ่มต้นที่ตรงไหน? และจะต้องใช้เงินเท่าไหร่? (เพราะรับรู้กันแล้วว่า หนี้ของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น มีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การถูกลดความน่าเชื่อถือของประเทศ)

ผมขอเสนอแนวทางที่สามารถจะพิจารณาเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปได้ โดยการกลับไปดูว่า ภาครัฐมีสินทรัพย์อะไรบ้างที่สามารถนำเอาออกมาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ และการลงทุนในระดับประเทศที่รัฐบาลจะต้องขับเคลื่อน แต่ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากโดยจะไม่ถูกต่อต้าน

ทรัพย์สินที่เห็นถึงศักยภาพชิ้นแรกคือ รางรถไฟของประเทศไทยที่ปัจจุบันมีอยู่ กว่า 4,000 กิโลเมตร เป็นรางรุ่นเก่าคือกว้าง 1 เมตร และที่เป็นรางที่รัฐบาลที่ผ่านมา (และในอนาคต) มีนโยบายที่จะให้รัฐบาลลงทุนสร้างรางเพิ่มขึ้นไปอีกกว่า 1 เท่าตัว (ให้เป็น 9,000 กิโลเมตร) เพื่อให้เป็นรางคู่เกือบทั่วประเทศ รถไฟจะได้สามารถวิ่งไป-มาได้ โดยมีข้อจำกัดน้อยลง

แต่ในความเป็นจริงพบว่ารางที่มีอยู่ ถูกใช้งานโดยเฉลี่ยเพียง 50-60% ไม่ใช่เพราะว่ามีรางไม่พอเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะ หัวรถจักร ตู้รถโดยสาร รถขนส่งสินค้า มีจำนวนที่จำกัด และมีอายุใช้งานยาวนานเฉลี่ยกว่า 30 ปี การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีหัวรถจักรที่ใช้งานได้เพียง 190 คัน (สำหรับวิ่งบนรางยาวกว่า 4,000 กิโลเมตร) เป็นต้น

แล้วทำไม รฟท. ไม่ซื้อหัวรถจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น? คำตอบคือ รฟท.มีหนี้สิน 850,000 ล้านบาท มีทุน 45,000 ล้านบาท และขาดทุนจากการดำเนินการปีละ 15,000-17,000 ล้านบาท จึงต้องรอให้รัฐบาลกู้เงินจ่ายดอกและคืนเงินต้นให้ในการลงทุนทุกกรณี

ดังนั้น แม้ว่า รฟท.จะเป็นเจ้าของรางรถไฟและสินทรัพย์อื่นๆ ทั่วประเทศ มูลค่ารวมเกือบ 900,000 ล้านบาท แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาสถานะทางการเงินและการใช้รางอย่างมีประสิทธิภาพได้

พัฒนาการที่สำคัญที่กำลังจะปลดล็อกเรื่องนี้คือ การที่วุฒิสภากำลังจะผ่าน พ.ร.บ.การขนส่งทางรางให้ออกมามีผลบังคับใช้ได้ภายในปีนี้ ซึ่งมาตรา 49 ของกฎหมายนี้ จะเปิดโอกาสเอกชนสามารถเข้ามาเดินรถไฟบนรางของ รฟท.ได้

โดยภาครัฐจะมีอำนาจออกใบอนุญาตให้เอกชนที่มีคุณสมบัติตามที่รัฐกำหนด เข้ามาประกอบกิจการรางเพื่อการขนส่งและเดินรถขนส่งทางรางได้ในระยะเวลาไม่เกิน 30 ปี

จะเปิดโอกาสให้เอกชนได้เข้าใช้รางรถไฟของรัฐบาลในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้าที่จะเป็นการสร้างงานและกระจายความเจริญไปทั่วประเทศครับ