ส.อ.ท. ห่วงบาทแข็ง ฉุดท่องเที่ยว หวั่น 'เวียดนาม' ชิงส่วนแบ่งถาวร

ส.อ.ท. ห่วงบาทแข็ง ฉุดท่องเที่ยว หวั่น 'เวียดนาม' ชิงส่วนแบ่งถาวร

“ส.อ.ท.” เผย บาทแข็งค่าฉุด “ท่องเที่ยว–ส่งออก” โดน “เวียดนาม” แย่งส่วนแบ่ง คาดนักท่องเที่ยวเข้าไทยพลาดเป้า นักธุรกิจร้องรัฐเร่งแก้ไขด่วน หวั่นไทยสียตำแหน่งผู้นำให้เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามอย่างถาวร

ภาคท่องเที่ยวไทย กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งปัญหาความปลอดภัยที่บั่นทอนความเชื่อมั่น นักท่องเที่ยวต่างชาติระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซ้ำเติมด้วยค่าเงินบาทที่แข็งค่าผิดปกติ ทำให้ต้นทุนท่องเที่ยวไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ส่งผลให้นักท่องเที่ยวหันไปเลือกจุดหมายปลายทางใหม่อย่างเวียดนาม ซึ่งมีค่าเงินอ่อนและต้นทุนถูกกว่า

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สะท้อนความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งผิดปกติ แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยเพื่อเอื้อให้ค่าเงินอ่อนลง แต่กลับสวนทางกับพื้นฐานเศรษฐกิจจริง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคส่งออกและการท่องเที่ยวเป้นอย่างสูง

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าเกือบ 8% ขณะที่คู่แข่งสำคัญในภูมิภาคอย่างเวียดนามกลับอ่อนค่า 3% ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบอย่างมาก ดังนั้น ในด้านการส่งออก โดยผู้ประกอบการไทยจ่ายเงินเพิ่มกว่า 17% แม้ว่าอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐไทยจะโดนเก็บในอัตรา 19% น้อยกว่าเวียดนามที่โดนเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐที่ 20% ดังนั้น เมื่อผู้ประกอบการไทยต้องส่งสินค้านำเข้าไปสหรัฐจึงกลายเป็นสูงกว่าถึง 27%

“ประเทศไทยต้องพึ่งพาการส่งออกกว่า 60% ของ GDP ดังนั้น การส่งออกไปสหรัฐแม้จะไม่ถึง 20% แต่อีก 80% เป็นตลาดอื่น ที่การแข่งขันต้องยอมรับว่ารุนแรงไม่แพ้กัน เพราะคู่แข่งในภูมิภาคก็ต้องหาตลาดอื่นเช่นกัน นั่นก็ยิ่งทำให้ความสามารถแข่งขันถดถอยลงด้วย” นายเกรียงไกร กล่าว

นอกจากนี้ ในด้านท่องเที่ยวก็ไม่ต่างกัน นักท่องเที่ยวจีนที่เคยเป็นความหวังของไทยได้ลดลง ขณะที่เวียดนามกลับดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มอีก 2.5 ล้านคน ในช่วงเดียวกัน ดังนั้น การที่ค่าเงินบาทไทยแข็งค่า จะยิ่งทำให้ท่องเที่ยวไทยแพงขึ้นทั้งค่าที่พักและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทำให้นักท่องเที่ยวก็เลือกไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านแทน

นายเกรียงไกร กล่าวว่า ข้อสังเกตที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ที่ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหาการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย หารือมาหลายปีนั้น พบว่า เมื่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า เงินบาทจะอ่อนตัวลงปวกเปียกมากกว่าปกติ แต่วันนี้ไทยแข็งค่ามากสุดในระดับเอเซีย ส่งผลกระทบภาคการท่องเที่ยวจากเป้าหมายปีนี้จะไม่สามารถทำเป้าหมายได้ดี

“ยอดนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรกของปี 2568 ลดลง 5-6% โดยนักท่องเที่ยวจีนหายไปเยอะ แม้จะได้ประเทศอื่นมาเพิ่มเติมก็ไม่ทดแทน เมื่อเงินบาทเป็นแบบนี้ กลัวว่ายอดนักท่องเที่ยวทั้งปีนี้อาจจะเหลือราว 32 ล้านคน ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย และจะส่งผลกระทบกับประเทศเป็นอีกหนึ่งในโหมดพึ่งพารายได้ทั้งส่งออกและท่องเที่ยว” นายเกรียงไกร กล่าว

นายเกรียงไกล กล่าวว่า ระดับค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรอยู่ 34–35 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อสร้างสมดุลทั้งการส่งออกและนำเข้า หากปล่อยให้แข็งค่าเกินไป ไทยจะเสียเปรียบทั้งตลาดโลกและการท่องเที่ยวในภูมิภาค

“วันนี้ไม่ใช่เรื่องของธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง แต่เป็นปัญหาโครงสร้างที่กระทบทั้งระบบเศรษฐกิจ หากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เร่งแก้ ไทยอาจเสียตำแหน่งผู้นำให้เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามอย่างถาวร” นายเกรียงไกร กล่าว