ส.อ.ท. ชง 5 เรื่องเร่งด่วน รัฐบาล 'อนุทิน' สู้วิกฤติเศรษฐกิจ

ส.อ.ท. ผนึก “รัฐบาลอนุทิน” เปิดแผน 5 เรื่องเร่งด่วน พลิกวิกฤติเศรษฐกิจไทยสู้ศึกรอบด้าน ชี้ “ค่าบาทแข็ง - สงครามการค้า” คือ ความท้าทายใหญ่
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้การต้อนรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสุชาติ ชมกลิ่น, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ, นางศุภจี สุธรรมพันธุ์, นายธนกร วังบุญคงชนะ, นายวรภัค ธันยาวงษ์ และนายกุลิศ สมบัติศิริ เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม มุ่งเสริมศักยภาพการแข่งขัน และยกระดับความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ ทางผู้บริหาร ส.อ.ท. ได้นำเสนอแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรม 5 เรื่องหลักในระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย
1. การเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐ และสงครามการค้า
2. การส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงิน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs
3. การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ
4. การรับมือผลกระทบจากปัญหาการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ
5. การบริหารจัดการผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับการรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐ และสงครามการค้า นายนาวา จันทนสุรคน รองประธาน ส.อ.ท. ได้ชี้แจงว่าปัจจุบันไทยถูกสหรัฐ เริ่มเก็บภาษีอัตราที่ 19% ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 แต่จะมีการเรียกภาษีอยู่ 2 กรณี คือ
กรณีที่ 1 สำหรับการเรียกเก็บภาษีอัตราที่ 19% ใช้กับสินค้าที่ตกอยู่ในขอบเขตของมาตรการนี้โดยรวมยกเว้นสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรา 232 เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียม ทองแดงกึ่งสำเร็จรูป เพราะสินค้ากลุ่มนี้มีกรอบกฎเกณฑ์ต่างหาก
สำหรับกรณีที่ 2 เรียกเก็บภาษีอัตราที่ 40% จะบังคับใช้เมื่อสินค้าถูกพิจารณาว่า เกิดจากการสวมสิทธิของประเทศที่สาม หรือมีกรณี transshipment โดยสินค้าในกรณีนี้จะต้องผ่านการตรวจสอบ และพิสูจน์โดย U.S. Customs and Border Protection (CBP) ก่อน และหากพบว่ามีการสวมสิทธิจริงจะถูกเรียกเก็บอัตรานี้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังไม่มีหลักเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (Regional Value Content: RVC) ที่ชัดเจน ภาครัฐจึงต้องติดตามแนวปฏิบัติของสหรัฐ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวได้ทัน
ดังนั้น ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขของสหรัฐ การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อให้คำปรึกษาเรื่องการคำนวณ RVC ตลอดจนการส่งเสริมผู้ประกอบการในการปรับตัว (Transformation) เพื่อปรับซัพพลายเชน (Supply Chain) ของไทยให้มีความยืดหยุ่น และทันสมัย พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ภาครัฐดำเนินมาตรการเชิงรุกด้านการค้าระหว่างประเทศ กำกับดูแลสินค้าให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand: MiT)
ด้านการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงิน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. ชี้แจงถึงสถานะความเปราะบางของ SME ไทย ณ เดือนมิถุนายน 2568 ว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในกลุ่ม SME คิดเป็น 243,026 ล้านบาท และยอดหนี้คงค้างรวม (สินเชื่อ SME) คิดเป็น 3,119,525 ล้านบาท
ดังนั้น ส.อ.ท. จึงนำเสนอแนวทางส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงิน และการเข้าถึงแหล่งทุน ภายใต้ “มาตรการ Fast Track เพื่อ SME” ประกอบด้วย โครงการค้ำประกันสินเชื่อฉุกเฉิน (Emergency Credit Guarantee) ที่อนุมัติได้ภายใน 3-7 วัน โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าธรรมเนียมช่วงแรก และเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันสูงกว่าปกติ เช่น 80–100% เพื่อธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อทันทีให้ SME ที่ต้องการสภาพคล่องเร่งด่วน สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง SME ด่วนพิเศษ 1% ผ่านกองทุนสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยให้ธนาคารรัฐเป็นผู้ดำเนินการ และเปิดช่องทางด่วน (Express Lane) สำหรับสินเชื่อวงเงิน 5-10 ล้านบาท
รวมทั้งสำหรับ SME ที่อยู่ในระบบภาษี โดยไม่ต้องใช้หลักประกัน เพื่อเติมสภาพคล่องระยะสั้นให้ SME สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และลดความเสี่ยงที่จะลุกลามเป็น NPL และมาตรการ “Hair Cut” สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้เสีย (NPL) เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ที่เหลือได้ และปิดบัญชี รวมทั้งลดปริมาณหนี้เสียในระบบโดยรวม
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธาน ส.อ.ท. ได้เสนอแนวทางการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต โดยเน้นถึงความจำเป็นในการสร้างโครงสร้างค่าไฟที่เป็นธรรม สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง และเอื้อต่อการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการผลักดันมาตรการสนับสนุนพลังงานทางเลือกและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้ภาครัฐเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยราคาที่เป็นธรรม และมีความมั่นคงด้านพลังงาน
นอกจากนี้ ยังเสนอให้ปรับโครงสร้างการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุนส่วนเกินที่ไม่จำเป็น และส่งเสริมการเปิดเสรีไฟฟ้า รวมทั้งปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีประวัติการชำระตามกำหนด เพื่อบรรเทาภาระด้านการเงิน และเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ
ขณะที่ นายเวทิต โชควัฒนา รองประธาน ส.อ.ท. ได้สะท้อนปัญหาการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว ทั้งในด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า การแก้ไขปัญหาด่านศุลกากร รวมถึงการเจรจาระดับทวิภาคี เพื่อสร้างความชัดเจนในกฎระเบียบการค้าชายแดน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับระยะเร่งด่วน ควรมุ่งเน้นการลดค่าใช้จ่ายด้านการโลจิสติกส์ให้แก่ผู้ประกอบการ ผ่านการเสริมช่องทางโลจิสติกส์เดิม การเพิ่มเรือชายฝั่งในการส่งสินค้า เข้าในช่องทางที่ไม่ใช่ชายแดนที่มีอาณาเขตติดกัน เช่น จันทบุรี และตราด และการพิจารณาอนุญาตให้ส่งออก และนำเข้าสินค้าที่เป็นวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน ที่จะนำไปเข้าสู่กระบวนการผลิตใน Supply Chain ได้ในด่านที่ไม่มีความขัดแย้ง รวมทั้งการเยียวยาผู้ประกอบการที่ต้องขนส่งในช่วงที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้ง โดยขอให้นำค่าขนส่งที่ชัดเจน มาใช้หักค่าใช้จ่ายเป็น 2 เท่าได้
สำหรับระยะสั้น เสนอแนะให้พิจารณา Soft Loan ให้ผู้ประกอบการเพื่อรักษาสภาพคล่องของกลุ่ม SME ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา หรือผู้ที่มีหลักฐานการค้าขายต่อเนื่องกับกัมพูชา เพิ่มเติมจากมาตรการที่ธนาคารเพื่อการส่งออก และนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank ออกมา รวมทั้งขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พิจารณาให้สิทธิประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมที่อยู่ใน Supply Chain ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ เพื่อจูงใจให้มีการลงทุนในไทยสำหรับชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจากกัมพูชา
ในส่วนของมาตรการระยะยาว พิจารณาตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่จะให้ทั้งสองประเทศกลับมาทำการค้าร่วมกัน และมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมาย สร้างความเจริญเติบโตร่วมกันให้กับภูมิภาค
นอกจากนี้ นายเกรียงไกร ยังได้สะท้อนความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยได้เสนอให้ภาครัฐเร่งศึกษา และแยกแยะผลกระทบจากธุรกรรมทองคำ คริปโทเคอร์เรนซี และการโอนเงินแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านระบบ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน พร้อมทั้งเสนอให้ส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ในการค้าระหว่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 และสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น FX Options และ Forward Contract ด้วยมาตรการช่วยลดค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น
สำหรับกลไกความร่วมมือในอนาคต ส.อ.ท. เห็นควรให้ขับเคลื่อนการหารือผ่านคณะกรรมการร่วมภาครัฐ และเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) และจัดให้มีเวทีระดมความคิดเห็นในประเด็นเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น มาตรการภาษีสหรัฐ การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เป็นรูปธรรม
“การพบปะในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างความร่วมมือเชิงรุกระหว่างภาครัฐ และเอกชน โดย ส.อ.ท. พร้อมที่จะสนับสนุน และทำงานเคียงข้างรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพื่อนำพาเศรษฐกิจไทยสู่ความเข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืนในอนาคต” นายเกรียงไกร กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







