'กนอ.-ส.อ.ท.' เร่งแผนลงทุนยุคใหม่ ตั้งแซนด์บอกซ์ ดัน Local Content สู้ศึกค้าโลก

"กนอ.- ส.อ.ท." ผนึกกำลังเร่งแผนลงทุนยุคใหม่ ชี้ไทยยังมีเสน่ห์ แต่ต้องปรับตัวรับกติกาโลก เล็งตั้ง "โซนพิเศษ - แซนด์บอกซ์" ในนิคมฯ ดัน Local Content สูงขึ้น สู้ศึกค้าโลก ยกระดับการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย เสริมศักยภาพอุตสาหกรรมไทย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวภายหลังความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประกาศก้าวสำคัญของความร่วมมือภาคีรัฐ และเอกชน ด้วยการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อยกระดับ และเร่งรัดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายว่า กนอ. มีความพร้อมด้านพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน และการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน
ขณะที่ ส.อ.ท. เป็นตัวแทนภาคอุตสาหกรรมที่ใกล้ชิด และมีความเข้าใจในความต้องการของผู้ประกอบการอย่างลึกซึ้ง โดยความร่วมมือภายใต้นโยบาย NOW Thailand ของ กนอ. และนโยบาย One FTI ของ ส.อ.ท. จะทำให้เกิดพลังเสริมที่สามารถผลักดันการลงทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดเป็นนโยบาย และมาตรการที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยให้เป็น New Growth Engine ของประเทศ และนำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจไทยโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือนี้ยังเป็นเวทีสู่การพัฒนานวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม และเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดย กนอ.มุ่งขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมสู่การเป็น ‘Smart Industrial Estate’ ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และส่งเสริมการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยกับบริษัทชั้นนำระดับโลก เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง
ทั้งนี้ การขอสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ครึ่งปี 2568 กว่า 1 ล้านล้านบาท โดยเมื่อเทียบกับยอดขาย/เช่าที่ดินในนิคมปี 2566 กว่า 6 พันไร่ และปี 2567 กว่า 7 พันไร่ แต่ปีงบประมาณ 2568 (ต.ค.- ก.ย.2568) จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 1 หมื่นไร่ น่าจะไม่ถึง โดยเดือนก.ค.อยู่ที่ 5,630 ไร่ คาดว่าปิดปีงบประมาณ 2568 จะมียอดขายรวม 6 พันไร่ เพราะเชื่อว่าโอกาสยังมีอยู่จากอัตราการเติบโตโดยปริมาณยอดขอกับยอดขายที่ดิน อีกทั้งยังมีที่ดินนอกนิคมฯ ซึ่งอัตราการขอ และเปิดนิคมฯ ตัวเลขก็ไปด้วยกัน ส่วนปี 2569 มั่นใจว่าจะลงนามเปิดพื้นที่ได้ตามเป้าหมาย 1 หมื่นไร่แน่นอน โดยปัจจัยต้นทุนที่ดี โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม การออกกฎระเบียบที่ชัดเจน รวดเร็ว สะดวกสบายให้นักลงทุน
"หลังเดือน 9 นี้ น่าลุ้น แต่น่าจะไม่เลวร้ายนัก และจะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเมืองไทยมีโอกาส บางอุตฯ เมื่อมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นก็ต้องการคน กนอ. จะช่วยออกแบบการลงทุนเพื่อทำให้เป็น 'อีโคโนมิกโซน' เคลื่อนที่ได้ โดยมี BOI เข้ามาร่วม และสิ่งสำคัญสุดคือออกแบบคลัสเตอร์ ที่จะร่วมกับ สอท."
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลก และการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ก็มีโอกาสสำคัญจากการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve ซึ่งจากข้อมูลของ BOI ระบุว่า มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 สูงถึง 1.058 ล้านล้านบาท เติบโต 138% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
การที่นักลงทุนจะตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตนั้น ต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นทำเลยุทธศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีขั้นสูง พื้นที่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ ตลาด และท่าเรือเพื่อความพร้อมสำหรับการส่งออก ซึ่งทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม คือ หัวใจสำคัญในการดึงดูดการลงทุน
ทั้งนี้ พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุน เนื่องจากมีความพร้อมทั้งด้านทำเล โครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศการผลิต (Ecosystem) ที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ Data Center เกษตรและชีวภาพขั้นสูง รวมถึง Climate Tech ด้วยเหตุนี้ ส.อ.ท.จึงมุ่งผลักดันให้เกิดการยกระดับอุตสาหกรรมจากอุตสาหกรรมเดิม (First Industries) สู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ซึ่งประกอบไปด้วย S-Curve & New S-Curve รวมทั้ง BCG และ Climate Change ซึ่งเป็นนโยบายที่ไปในทิศทางเดียวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมของโลก และนโยบายของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท. พร้อมสนับสนุน กนอ. ทั้งเรื่องการประสานงานกับสมาชิก ส.อ.ท. เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม การรวบรวมความเห็นจากภาคเอกชนเพื่อร่วมพัฒนากฎระเบียบให้เอื้อต่อการทำธุรกิจ รวมทั้งการส่งเสริมให้สมาชิกใช้บริการศูนย์บริการเบ็ดเสร็จครบวงจร หรือ One Stop Service ของ กนอ. และที่สำคัญที่สุด คือ การผลักดันมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ให้เป็นที่รู้จัก และยอมรับในระดับสากล เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุน และผลักดันอุตสาหกรรมไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ปัจจุบันไทยยังมีเสน่ห์ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ซึ่งสร้างโอกาสให้ไทยในการดึงเม็ดเงินลงทุน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับกติกาใหม่ของโลก เช่น มาตรการกีดกันทางการค้า และข้อกำหนดเรื่องสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) หรือ RVC ที่เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 60% ซึ่งทำให้การนับต้นทุน และการผลิตต้องเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ทั้งสององค์กรจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้าง Ecosystem ที่เหมาะสม โดยออกแบบอุตสาหกรรมใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัล เกษตรสมัยใหม่ และธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน, ออกแบบพื้นที่เฉพาะทาง (Special Zones) เสนอให้มีการจัดตั้งเขตพิเศษหรือ Sandbox เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ และสนับสนุนการเพิ่มสัดส่วน Local Content เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้า
อีกทั้งจะต้องดูแล SME ไทย โดยพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ให้สามารถเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานระดับโลกได้อย่างเข้มแข็ง และพัฒนาบุคลากร โดยจัดหลักสูตร Upskill, Reskill และ Culture Skill เพื่อเตรียมความพร้อมด้านแรงงานให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมใหม่ และรองรับความต้องการของนักลงทุน
"แม้ประเทศไทยจะมีการวางแผนที่ดี แต่ความท้าทายอยู่ที่การนำแผนไปปฏิบัติจริงอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่อง โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกให้นักลงทุน และการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ เพื่อให้ไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางการลงทุนที่น่าสนใจในภูมิภาคอย่างยั่งยืน" นายเกรียงไกร กล่าว
สำหรับขอบข่ายความร่วมมือหลัก 4 ด้าน ภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ประกอบด้วย
1.การเร่งรัดการลงทุน ด้วยการร่วมกันจัดทำแนวทาง และแผนสร้างแรงจูงใจ เพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิต และปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม
2.ความร่วมมือทางวิชาการและข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูลภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เพื่อใช้กำหนดนโยบาย และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
3.การพัฒนากฎหมาย และกฎระเบียบ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ โดย กนอ. จะสนับสนุนการใช้บริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (One Stop Service) และ "ทางด่วน" การลงทุน (Investment Fast Track)
4.การส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยการร่วมกันยกระดับผู้ประกอบการด้วยมาตรฐาน "โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory)" ตั้งแต่การพัฒนาเกณฑ์มาตรฐาน การให้การรับรอง การพัฒนาบุคลากร ไปจนถึงการมอบสิทธิประโยชน์ และจัดพิธีมอบรางวัล
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







