'ยอดผลิต-ส่งออก' ยานยนต์ทรุดต่อเนื่อง หวังรัฐอัดงบปี 69 ฟื้นกำลังซื้อ

'ยอดผลิต-ส่งออก' ยานยนต์ทรุดต่อเนื่อง หวังรัฐอัดงบปี 69 ฟื้นกำลังซื้อ

ยอดผลิตรถยนต์ในเดือนก.ค.68 ดิ่งลง 11.39% ส่วนส่งออกลด 13.27% ยอดขายรถกระบะยังคงเป็นปัญหาใหญ่ต่อเนื่องกว่า 30 เดือน แม้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังไม่สามารถฉุดรั้งภาพรวมอุตสาหกรรมให้ฟื้นตัวได้

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การผลิตรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนกรกฎาคม 2568 รวม 110,616 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2568 ที่ 15.06% และลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ 11.39% ลดลงค่อนข้างมากโดยเฉพาะรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันซึ่งลดลง 31.80% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกบางรุ่น รถกระบะยังคงผลิตลดลงทั้งผลิตขายในประเทศ และผลิตส่งออกที่ลดลง 6.54% และ 8.61% ตามลำดับตามยอดขายในประเทศ และยอดส่งออกที่ลดลงจากความไม่แน่นอนในการค้าโลก

โดยจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม - กรกฎาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 835,331 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - กรกฎาคม 2567 ที่ 5.73%

การผลิตเพื่อส่งออก เดือนกรกฎาคม 2568 ผลิตได้ 74,100 คัน เท่ากับ 66.99% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ 15.35% ส่วนเดือนมกราคม - กรกฎาคม 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 549,113 คัน เท่ากับ 65.74% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกัน 9.05%

การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนกรกฎาคม 2568 ผลิตได้ 36,516 คัน เท่ากับ 33.01% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ 2.08% และเดือนมกราคม - กรกฎาคม 2568 ผลิตได้ 286,218 คัน เท่ากับ 34.26% ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม – กรกฎาคม 2567 ที่ 1.37%

ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนกรกฎาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 49,102 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2568 ที่ 1.95% แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ 5.84% เพิ่มขึ้นติดต่อกันสี่เดือนเพราะยอดขายรถยนต์นั่งโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีราคาเข้าถึงได้มากกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน รถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องมากว่าสามสิบเดือนเหลือแค่ 11,022 คัน ลดลง 16.3% (ปี 2562 ก่อนโควิด-19 รถกระบะขายในประเทศเฉลี่ยเดือนละ 35,973 คัน เท่ากับ 35.70% ของยอดขายรวม 1,007,552 คัน) 

อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่ลดลงเป็นเพราะความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะจากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง และเศรษฐกิจในประเทศที่ยังขยายตัวในอัตราต่ำ 2.8% ในไตรมาส 2/2568 การลงทุนของเอกชนเติบโตแค่ 4.1% สาขาอุตสาหกรรมเติบโตแค่ 1.7% นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนลดลงมาก ทำให้สาขาพักแรมและอาหารเติบโตเพียง 2.1% คงต้องติดตามการลงทุนของเอกชน การท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชนต่อไป คาดหวังงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตมากขึ้นจากปัจจุบัน

"ขอบคุณ กนง.ที่มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงช่วยให้ผู้กู้ลดภาระจ่ายดอกเบี้ยลง ทำให้ชำระคืนเงินกู้ได้มากขึ้น หนี้ครัวเรือนจะได้ลดลง และขอบคุณทีมไทยแลนด์ที่เจรจากับทีมงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จนได้อัตราภาษีศุลกากรนำเข้าสหรัฐอเมริกา 19% ซึ่งน่าจะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และในประเทศได้มากขึ้นเพื่อส่งออก และสร้างงานสร้างรายได้ให้คนไทยมากขึ้น หนี้ครัวเรือนจะได้ลดลงจากการชำระหนี้ ไม่ใช่ลดลงเพราะสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อซึ่งลดลงมาหลายไตรมาสแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ภาษีทรัมป์ของไทยที่ 19% ดูจะเสียเปรียบเวียดนามที่ 20% เมื่อเงินด่องเวียดนามอ่อนค่ามาก"

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การส่งออก รถยนต์สำเร็จรูป เดือนกรกฎาคม 2568 ส่งออกได้ 72,439 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้ว 17.76% และลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ 13.27% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งใช้น้ำมันบางรุ่นเพราะจะเปลี่ยนรุ่นรถ รถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้ายังส่งออกอีกในเดือนนี้ 167 คัน ปีนี้จึงเป็นปีประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้า และรถกระบะไฟฟ้าดังที่รัฐบาล และเอกชนร่วมมือกันให้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์ใช้น้ำมัน และยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าที่มีนโยบาย และความพร้อมของโครงสร้างแตกต่างกัน 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน และการเข้มงวดในเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับเพื่อความปลอดภัยในรถยนต์ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพของรถยนต์ของประเทศคู่ค้า ทำให้การส่งออกรถยนต์เดือนนี้ลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย และอเมริกาเหนือ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถยนต์ยังคงส่งออกเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงหวังว่ารัฐบาลจะเร่งใช้งบประมาณปี 69 เพื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจ และกำลังซื้อให้ฟื้นขึ้นมาได้

"มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 361,224.05 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – กรกฎาคม 2567 ที่ 13.97% รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม – กรกฎาคม 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 513,390.07 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม – กรกฎาคม 2567 ที่ 9.48%"

สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนกรกฎาคม 2568 จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 12,124 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ปีที่แล้ว 45.51% เดือนมกราคม - กรกฎาคม 2568 มี BEV จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน  81,179 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - กรกฎาคม ปีที่แล้ว 35.08% ยอดจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 รวมทั้งสิ้น 307,428 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 60.61% 

ส่วนยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 84,128 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - กรกฎาคม ปีที่แล้ว 0.40% โดยเดือนกรกฎาคม 2568 มี PHEV จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 1,286 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ปีที่แล้ว 55.69% เดือนมกราคม - กรกฎาคม 2568 มี PHEVจดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 12,632 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - กรกฎาคม ปีที่แล้ว 120.76% 
 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์