ราคาน้ำมันดิบทรงตัว หลังรายงานชี้สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง

บลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (20 ส.ค. 68) ว่าราคาน้ำมันทรงตัวหลังรายงานชี้ว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลง ขณะที่นักลงทุนกำลังประเมินแนวโน้มการเจรจาสงบศึกระหว่างยูเครน-รัสเซีย

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ซื้อขายใกล้ระดับ 66 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังจากร่วงลง 1.2% ในวันอังคาร (19 ส.ค. 68) ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) อยู่ต่ำกว่าระดับ 63 ดอลลาร์สหรัฐฯ สถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรม รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 2.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ทราบตัวเลขดังกล่าว ข้อมูลอย่างเป็นทางการจะประกาศในวันพุธนี้

ตลาดกำลังติดตามความคืบหน้าในการยุติสงครามในยูเครนอย่างใกล้ชิด หลังจากการเจรจาระดับสูงหลายครั้งที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นคนกลาง ไกล่เกลี่ย ข้อตกลงสันติภาพใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นอาจนำไปสู่การลดข้อจำกัดในการส่งออกน้ำมันดิบของรัสเซีย แม้ว่ารัสเซียจะยังคงรักษาปริมาณส่งออกน้ำมันดิบไว้เป็นส่วนใหญ่ก็ตาม

น้ำมันดิบส่วนใหญ่ถูกส่งมายังอินเดียนับตั้งแต่สงคราม ซึ่งทำให้ทรัมป์ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ อ้างว่า “ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในอินเดีย” บางส่วนได้รับประโยชน์จากการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย และย้ำถึงแผนการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดีย

ตลาดน้ำมันมีแนวโน้มซบเซาในระยะยาว โดยคาดว่าจะมีปริมาณน้ำมันล้นตลาดในช่วงปลายปี 2568 เนื่องจากกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) กลับมาผลิตน้ำมันดิบเพิ่มอีกครั้ง และเนื่องจากนโยบายการค้าของทรัมป์ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ 

ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าลดลงมากกว่า 10% ในปีนี้

อัปเดตราคาเช้านี้

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สำหรับการส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 0.4% มาอยู่ที่ 66.08 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ณ เวลา 8:40 น. ตามเวลาสิงคโปร์

ราคาน้ำมันดิบ WTI สำหรับการส่งมอบเดือนกันยายน ซึ่งสัญญาจะหมดอายุในวันพุธ เพิ่มขึ้น 0.5% มาอยู่ที่ 62.69 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบสัญญาส่งมอบเดือนตุลาคมซึ่งมีการซื้อขายมากกว่า เพิ่มขึ้น 0.5% มาอยู่ที่ 62.09 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล