“อินเดีย-จีน-ตะวันออกกลาง”หนุน อุตฯการบินโลกสดใส-ทอท.โกยกำไรแกร่ง

อุตสาหกรรมการบิน มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในทางตรงและทางอ้อมด้วยบทบาทเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญในยุคปัจจุบัน
ข้อมูลจาก Airbus Global Market Forecast 2025-2044 :Aviation industry outlook เผยแพร่โดย บริษัทแอร์บัส ระบุว่าอุตสาหกรรมการบินมีส่วนต่อจีดีพีโลกถึง 3.9% มีการจ้างงาน 86.5 ล้านตำแหน่ง/คน ซึ่งปี 2568 นับเป็นปีที่สดใสของการบินทั่วโลก
ทั้งนี้คาดการณ์ว่าภาคการบินจะพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยได้รับแรงผลักดันจากปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจโดยความต้องการของผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียและตะวันออกกลาง ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบการบินทั่วโลกที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในอีก 20 ปีข้างหน้า รายงานระบุว่า คาดการณ์ความต้องการเครื่องบินโดยสารและเครื่องบินขนส่งสินค้าใหม่ทั่วโลกจะอยู่ที่ 43,420 ลำ ซึ่งไม่เพียงแต่จะรองรับการเติบโตเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเปลี่ยนฝูงบินเก่าที่ประหยัดเชื้อเพลิงน้อยให้เป็นกลุ่มเครื่องบินที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
ส่วนคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารทั่วโลก ซึ่งวัดเป็นหน่วยกิโลเมตรของรายได้ (Revenue Passenger Kilometres: RPKs) จะเติบโตในอัตราเฉลี่ยระยะกลางถึงระยะยาวที่ 3.6% ต่อปี จนถึงปี 2587 แม้ว่าตลาดที่เติบโตเต็มที่แล้วก็จะยังคงขยายตัวในระดับปานกลาง แต่คาดว่าส่วนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่สุดจะเกิดขึ้นในเอเชียและตะวันออกกลาง โดยปริมาณการจราจรทางอากาศต่อการเติบโตต่อปีที่เด่นๆคือ อินเดีย : 8.9% สาธารณรัฐประชาชนจีน: 8.5% ตะวันออกกลาง: 5.3%
“สภาพการจราจรทางอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ เน้นย้ำถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของเครื่องบินอเนกประสงค์ที่มีประสิทธิภาพในการให้บริการเส้นทางและตลาดที่หลากหลาย"
โดยสายการบินต่างๆ สามารถให้บริการเครื่องบินแบบทางเดินเดี่ยวและแบบลำตัวกว้างแบบผสม โดยใช้ลูกเรือที่มีระดับการบินหลายประเภท เนื่องจากเครื่องบินตระกูล A320, A330 และ A350 มีการใช้งานร่วมกันเพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณการขนส่งที่คาดการณ์ไว้และการทดแทนเครื่องบินที่ปลดระวาง คาดว่าฝูงบินเครื่องบินโดยสารและเครื่องบินขนส่งสินค้าทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า จาก 24,730 ลำ ณ สิ้นปี 2567 เป็น 49,210 ลำ ภายในสิ้นปี 2587 ในช่วงเวลาดังกล่าว จำเป็นต้องมีเครื่องบินใหม่จำนวน 43,420 ลำ ความต้องการนี้แบ่งออกเป็น เครื่องบินทางเดินเดี่ยว 34,250 ลำ ซึ่งโดยทั่วไปจะให้บริการในเส้นทางภายในประเทศและภูมิภาคด้วยประสิทธิภาพและพิสัยการบินที่เพิ่มขึ้น และเครื่องบินลำตัวกว้าง 9,170 ลำ ซึ่งโดยทั่วไปจะเชื่อมต่อศูนย์กลางการบินระหว่างประเทศที่สำคัญ รวมถึงเส้นทางบินที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่นในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย เพื่อรองรับผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าระยะไกล
“ที่สำคัญคือ การส่งมอบเครื่องบินประมาณ 18,930 ลำจะเข้ามาแทนที่เครื่องบินรุ่นเก่า การปรับปรุงฝูงบินนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของการบินต่อผู้โดยสารกิโลเมตรอย่างมีนัยสำคัญ”รายงานระบุ
ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (AOT) กล่าวถึง ปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) ใน 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนต.ค.2567 -มิ.ย. 2568) มีจำนวนเที่ยวบินรวม 602,195 เที่ยวบิน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.79 แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 341,523 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 260,672 เที่ยวบิน มีผู้โดยสารมาใช้บริการรวม 97.24 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.87 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 59.48 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 37.76 ล้านคน
ล่าสุด จากการที่ ทสภ.ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 10 อันดับแรกของท่าอากาศยานที่มีการเชื่อมต่อทางอากาศดีที่สุด (Airport Connectivity Ranking) ประจำปี 2567 โดยสภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศ ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักเดินทางที่มีต่อท่าอากาศยานของ AOT ทั้งในด้านความปลอดภัย การให้บริการ และความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การเติบโตของจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารยังส่งผลให้รายได้รวมจากการดำเนินงานในภาคการบินของ AOT ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากกิจการการบินจำนวน 25,645.27 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน เพิ่มขึ้น 2,376.90 ล้านบาท คิดเป็น 10.22% ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 52,324.21 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 14,262.37 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน AOT ก็มีแผนหาแหล่งรายได้อื่นเพื่อสนับสนุนความแข็งแกร่ง และยั่งยืนในอนาคต โดยเฉพาะรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Non-Aeronautical Revenue) เช่น การเปิดให้นักลงทุนและผู้ประกอบการทั้งภายในประเทศและต่างประเทศมีโอกาสพัฒนาพื้นที่ศักยภาพรอบสนามบินทั้ง 6 แห่ง เพื่อประกอบธุรกิจ เช่น โรงแรม โครงการ MRO โครงการ Private Jet Terminal โครงการ Logistics Hub Training Center ศูนย์ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้า โชว์รูมรถยนต์ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และโครงการ Attraction in Terminal เป็นต้น และยังมีการจัดเก็บค่าบริการระบบไฟฟ้า 400 Hz และระบบปรับอากาศ PC-AIR ที่อาคาร SAT-1 ทสภ. ที่สอดรับกับแนวโน้มการเติบโตของสายการบินที่เข้ามาใช้บริการที่ ทสภ.ที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพด้านแหล่งรายได้ที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งบริการดังกล่าวยังช่วยลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดมลพิษทางอากาศและเสียงรบกวนจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขณะที่เครื่องบินเข้าจอด
ณ หลุมจอดอากาศยานประจำเครื่องบิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ AOT ตระหนักและให้ความสำคัญต่อการลดปัญหาที่จะเกิดกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน อันจะนำไปสู่ประสิทธิภาพด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาวขององค์กรไปจนถึงการเตรียมความพร้อมให้กับ ทสภ.ในการเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคต่อไป







