‘บาทแข็ง’ เกินจริงฉุดแข่งขันท่องเที่ยวไทย ‘แอตต้า’ ลุ้นทัวริสต์ต่างชาติ 39 ล้านคนปี 69

‘บาทแข็ง’ เกินจริงฉุดแข่งขันท่องเที่ยวไทย  ‘แอตต้า’ ลุ้นทัวริสต์ต่างชาติ 39 ล้านคนปี 69

“แอตต้า” หวั่น “บาทแข็ง” เกินจริงสวนทางเศรษฐกิจไทยโตต่ำ หลุดกรอบ 30 บาทต่อดอลลาร์ ฉุดขีดแข่งขันด้านราคาภาคท่องเที่ยวไทย สินค้าบริการแพงขึ้นในสายตาทัวริสต์ต่างชาติ หวัง “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เยือนไทยปี 69 แตะ 39 ล้านคน จาก “ตลาดจีน” คาดฟื้นแรง 9 ล้านคน เพิ่มเท่าตัวจาก 4.5 ล้านคนปีนี้ “ททท.” ชี้เห็นสัญญาณบวกตลาดจีนเที่ยวไทย หวังพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาจบเร็ว หวั่นฉุดช่วงพีคเทศกาลตรุษจีน ก.พ. 69

ภาคเอกชนท่องเที่ยวกังวลปัจจัยเงินบาทแข็งค่า สร้างความท้าทายแก่การแข่งขันด้านราคาในช่วงไฮซีซันปลายปี 2568 ไปจนถึงตลอดปี 2569 สินค้าท่องเที่ยวและบริการของไทยแพงขึ้นในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ เทียบคู่แข่งในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และเวียดนาม อาจทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนใจไปเที่ยวประเทศอื่นที่มีค่าใช้จ่ายถูกก่อน

นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า หากค่าเงินบาทแข็งค่าหลุดกรอบ 30 บาทต่อดอลลาร์ คาดกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไทยไปอีกยาว เพราะปัจจุบันค่าครองชีพของประเทศไทยสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน เมื่อบวกกับปัจจัยค่าเงินบาทแข็งที่สุด และสถานการณ์แข่งขันชิงนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศต่างๆ เช่น เวียดนาม กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้เปรียบประเทศไทย มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใกล้เคียงกัน แต่ต้นทุนค่าใช้จ่ายของเวียดนามถูกกว่าไทย สามารถชูจุดขายความสดใหม่ และไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวต้องกังวล

เมื่อเงินบาทแข็งค่า และสภาวะเศรษฐกิจของไทยไม่ได้ดีมากนัก ยิ่งกลายเป็นปัญหาหนัก ทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยแข่งขันได้ยาก โดยมองว่าระดับค่าเงินบาทที่เหมาะสมที่สุดคือ 40 บาทต่อดอลลาร์ ใกล้เคียงยุคหลังวิกฤติต้มยำกุ้งที่ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ เอื้อต่อเศรษฐกิจไทยทั้งภาคการส่งออกและท่องเที่ยว 

ขณะที่ตอนนี้ฐานะทางการคลังของไทยไม่ค่อยดี ภาคการส่งออกเติบโตไม่โดดเด่น ภาคการท่องเที่ยวมีชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทยติดลบ ขณะเดียวกันปัญหาหนี้ครัวเรือนก็สูง จึงมองว่าอย่างน้อยควรอ่อนค่ากลับไปที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์ เท่ากับตอนตลาดกรุ๊ปทัวร์จีนเดินทางเข้าไทยกำลังบูมเมื่อปี 2562 ก่อนโควิดระบาด 

ยกตัวอย่างปีที่แล้วนักท่องเที่ยวจีนใช้เงินหยวนแลกเงินบาทได้ 5.4 บาทต่อหยวน แต่ปัจจุบันแลกได้ 4.4 บาทต่อหยวน หายไป 20% ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเลือกไปจุดหมายปลายทางอื่นที่ถูกกว่าก่อน ค่อยมาไทยทีหลัง

“ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสม เพราะในสภาวะเศรษฐกิจไทยไม่ดีแบบนี้ ภาคส่งออกกับท่องเที่ยวยังเป็นแบบนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงขนาดนี้ คนไทยไม่ค่อยมีเงิน ในมุมภาคเอกชนจึงมองว่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นผลจากราคาทองคำพุ่ง หรือธุรกรรมผิดปกติและธุรกรรมเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีที่ควบคุมได้ยาก”

ลุ้นปี 69 ต่างชาติเที่ยวไทย 39 ล้านคน

นายธนพล ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า แอตต้าคาดการณ์ว่าปี 2569 จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยเกือบ 9 ล้านคน เพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีนี้ที่คาดว่าจะปิด 4.5 ล้านคน หนุนภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยไปถึง 39 ล้านคนในปีหน้า เพิ่มขึ้นจาก 32-33 ล้านคนในปีนี้

หลังจากกลางเดือน พ.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดเสียงชื่นชมอย่างมากจากชาวจีนบนโลกโซเชียลมีเดีย ส่งผลบวกต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย

นอกจากนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังได้เข้าร่วมงานเทรดโชว์ด้านการท่องเที่ยว “CITM 2025” ณ เมืองไหโขว่ มณฑลไห่หนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความสัมพันธ์อันดี ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบสองทางระหว่างไทยกับจีน ขณะเดียวกันยังได้รับความเชื่อมั่นจากองค์กรใหญ่ เช่น แอมเวย์ (Amway) จัดทริปเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (อินเซนทีฟกรุ๊ป) จำนวนรวม 13,000 คน ทยอยเดินทาง 10 กลุ่ม กลุ่มละ 1,300 คน ตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค.-ต้นเดือน เม.ย. 2569

“แม้ปีนี้จะมีหลายเหตุการณ์สร้างความกังวลใจแก่นักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะเหตุการณ์นักแสดงชาวจีน ซิงซิง หายตัวไปบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาเมื่อต้นปี ส่งผลกระทบระยะยาว นักท่องเที่ยวจีนหายไปหลายล้านคน ไม่ใช่วิกฤติช่วงสั้นๆ แต่ล่าสุดจากการติดตามโซเชียลมีเดียของจีนแทบไม่มีข่าวเชิงลบเกี่ยวกับประเทศไทยแล้ว จึงคาดหวังว่าการเจรจาเพื่อยุติการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จะเกิดขึ้นในเร็ววัน ส่งผลดีต่อภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยทั้งหมด”

 

จัดเจรจาธุรกิจ ม.ค.69 สะพัด 3 พันล้าน

ทั้งนี้ แอตต้า ร่วมกับ ททท. สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (ทีเส็บ) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สมาคมโรงแรมไทย และพันธมิตรภาคการท่องเที่ยวไทย ประกาศความพร้อมจัดงาน “ไทยแลนด์ ทัวริสซึ่ม แอนด์ ไมซ์ เน็กซ์ 2026” วันที่ 23 ม.ค. 2569 ณ รอยัล จูบิลี บอลรูม อิมแพ็ค เมืองทองธานี 

รับกระแสท่องเที่ยวฟื้นตัว มุ่งยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางความร่วมมือการท่องเที่ยวโลกที่ปลอดภัยและยั่งยืน ไฮไลต์ของงานคือการจับคู่ธุรกิจไม่ต่ำกว่า 3,000 นัดหมาย ที่มีผู้ซื้อและผู้ขายมากกว่า 1,200 ราย คาดการณ์มูลค่าการเจรจาธุรกิจเบื้องต้นประมาณ 3,000 ล้านบาท

 

“ททท.” ชี้จีนเที่ยวไทยเห็น “สัญญาณบวก”

นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวภายหลังร่วมงานเทรดโชว์ CITM 2025 ว่า ททท.เริ่มเห็นสัญญาณบวกของตลาดนักท่องเที่ยวจีน หลังเดินหน้าทำการตลาดสื่อสารภาพลักษณ์ความปลอดภัยของประเทศไทยเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และช่วง 2-3 เดือนล่าสุดไม่ค่อยมีข่าวเชิงลบกระทบบรรยากาศการเดินทาง เอเย่นต์ทัวร์จึงกล้าขายแพ็กเกจทัวร์แก่นักท่องเที่ยวจีนมากขึ้น โดยเฉพาะในเมืองรองระดับ 2-3 ของจีน

จากสถิติภาพรวมนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยเดือน ธ.ค. ฟื้นตัว แม้ยังติดลบ 28% เทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่เป็นการติดลบที่น้อยลงกว่าเดือน มี.ค.-มิ.ย. ที่มีอัตราติดลบถึง 41-48% หลังเกิดเหตุนักแสดงจีนซิงซิงหายตัว โดยปัจจุบันมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาไทย 10,000-14,000 คนต่อวัน เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้เฉลี่ยเพียง 8,000-9,000 คนต่อวัน

ประกอบกับกรณีพิพาทระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ทางการจีนประกาศเตือนคนจีนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าญี่ปุ่น เกิดอานิสงส์คนจีนเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปเที่ยวประเทศอื่นที่มีสินค้าและมูลค่าแพ็กเกจใกล้เคียง ส่วนใหญ่จึงเลือกไปเกาหลีใต้แทน สำหรับการเปลี่ยนจุดหมายมาเที่ยวไทย คาดว่าจะเห็นชัดเจนในเดือน ธ.ค.นี้เป็นต้นไป และทำให้ภาพรวมนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยตลอดปี 2568 มีจำนวนแซงนักท่องเที่ยวมาเลเซียกลับมาเป็นอันดับ 1 ก็เป็นได้ เนื่องจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ส่งผลกระทบต่อการเดินทางข้ามชายแดนมาเที่ยว อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในเดือนสุดท้ายของปีนี้

 

“จีนเที่ยวญี่ปุ่น” เดือน พ.ย. โตแค่ 3%

หลังจากเกิดข้อพิพาทระหว่างจีนกับญี่ปุ่น สถิติล่าสุดจากการรายงานขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ระบุว่าในเดือน พ.ย. 2568 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าญี่ปุ่นจำนวน 5.62 แสนคน เติบโตลดลง เพิ่มขึ้นเพียง 3% เทียบเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ต่างจากเดือน ต.ค. ที่มีจำนวน 7.15 แสนคน เติบโต 22.8%

ส่วนภาพรวมนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าญี่ปุ่นสะสมตลอด 11 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ย.) ปีนี้ มีจำนวน 8.76 ล้านคน เติบโต 37.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ยังคงครองอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่นทั้งหมด รองลงมาคือนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ 8.48 ล้านคน ไต้หวัน 6.17 ล้านคน สหรัฐ 3.03 ล้านคน ฮ่องกง 2.22 ล้านคน และไทย 1.06 ล้านคน

 

ททท.ตั้งเป้าจีนเที่ยวไทยปีหน้า 6.7 ล้านคน

นางสาวภัทรอนงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามที่นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. ตั้งเป้าหมายฟื้นนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยปี 2569 ไว้ที่ 6.7 ล้านคน เท่ากับปี 2567 มีความเป็นไปได้ว่าจะไปถึงตัวเลขนั้น ถ้าปัจจัยลบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน 

โดยเฉพาะการทำตลาดร่วมกับสายการบินเพื่อเพิ่มปริมาณที่นั่งโดยสาร (Seat Capacity) เส้นทางระหว่างไทย-จีน โดยเมื่อปี 2567 มีปริมาณที่นั่งโดยสารรวม 8.81 ล้านที่นั่ง ปี 2568 มีปริมาณลดลงเหลือ 7.49 ล้านที่นั่ง ติดลบ 14% เทียบปีก่อน ส่วนปี 2569 คาดมีดีมานด์จากเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) มากขึ้น ล่าสุดได้หารือกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เกี่ยวกับการออกมาตรการจูงใจสายการบินเพิ่มเติม

 

หวังพิพาทชายแดนฯ จบเร็ว หวั่นฉุด “ตรุษจีน”

อย่างไรก็ตาม เหตุพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนในการเดินทางเข้าไทย หากยืดเยื้อไปถึงกลางเดือน ก.พ. 2569 ซึ่งตรงกับช่วงพีคหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน จะยิ่งกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะกลุ่มเดินทางจากเมืองรองที่ค่อนข้างอ่อนไหวและกังวล ต่างจากนักท่องเที่ยวเมืองหลักของจีนที่เข้าใจสถานการณ์ว่าพื้นที่เกิดเหตุห่างจากกรุงเทพฯ พอสมควร

โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเอเย่นต์ทัวร์มีความจำเป็นต้องเลื่อนเที่ยวบินเช่าเหมาลำ 3 เที่ยวบินแรก จากแผนทำการบิน 13 เที่ยวบินในเส้นทาง ไหโขว่-อุดรธานี ออกไปก่อน ทั้งที่ขายแพ็กเกจทัวร์ได้เต็มลำ แต่พอเกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดน ทำให้นักท่องเที่ยวสับสนระหว่างชื่อ จ.อุดรธานี กับ จ.อุบลราชธานี ซึ่งติดชายแดนกัมพูชา ทำให้ต้องเลื่อนการเดินทางออกไป