เศรษฐกิจการเมืองที่มีสมองและหัวใจ

ผมได้ดูรายการของมติชนที่เป็นกิจกรรม “นิธิ เอียวศรีวงศ์ ประจำปี 2568” ซึ่งเป็นเวทีสนทนาหัวข้อ “เศรษฐกิจการเมืองที่มีสมองและหัวใจ” ซึ่งผมคิดว่ามีคุณค่าอย่างมาก
(ท่านผู้อ่านจึงควรไปดูรายการดังกล่าวเองทั้งหมด) และทำให้ผมมีแนวคิดและความเห็นเกี่ยวกับสาระที่ทั้ง 3 ท่าน คือคุณบรรยง คุณสฤณี และคุณธนาธร ได้พูดถึงในรายการดังกล่าวดังนี้ครับ
1.อ.ชาญวิทย์ ซึ่งเป็นเพื่อนของ อ.นิธิ ได้แสดงความคิดเห็นในตอนท้ายของงานว่า ประเด็นที่ อ.นิธิ เป็นห่วงคือ แรงกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจและการเมืองไทยนั้น อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งความรุนแรงและเสียเลือดเสียเนื้อ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
เรื่องนี้วิทยากรทั้ง 3 ท่านก็เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า จะต้องช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนั้นให้จงได้ เพราะประสบการณ์ที่เห็นเป็นตัวอย่างที่อื่นๆ เช่น Arab Spring นั้นจะเห็นแต่ความสูญเสีย แต่ไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปในทางที่ดีแต่อย่างใด
2.ได้มีการกล่าวถึงความถดถอยของเศรษฐกิจและการเมืองของไทยในหลายมิติ ซึ่งในด้านความอึดอัดด้านเศรษฐกิจนั้น ผมจะไม่ขอขยายความเพิ่มเติม แต่ในด้านการเมือง/สังคมนั้น คุณบรรยงอ้างถึงตัวเลขที่สะท้อนความถดถอยของประเทศไทย เช่น ปัญหาคอร์รัปชัน (อันดับ Corruption Perception Index ของไทยตกลงจากที่ 70 มาเป็นที่ 108) หรือความเป็นประชาธิปไตยและ Rule of Law ตลอดจนคะแนนด้านการศึกษาคือ Pisa Score ที่ปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
คุณธนาธรบอกว่า ช่วงเดียวกัน ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี 9 คน โดย 4 คนถูกศาลปลดออกจากตำแหน่ง นอกจากนั้น เรายังได้มีรัฐธรรมนูญถึง 3 ฉบับ การปฏิวัติรัฐประหาร 2 ครั้ง การยุบพรรคการเมือง 9 พรรคและการตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ 2 ครั้ง ซึ่งทำให้เห็นภาพของความปั่นป่วนทางการเมืองของประเทศไทย ที่เป็นตัวฉุดรั้งความเจริญด้านเศรษฐกิจ เพราะนักการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องคงจะต้องพะวงกับความเสี่ยงทางการเมือง และมีเวลาและทรัพยากรในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศลดลงไปอย่างมาก
3.ผมเห็นด้วยกับประเด็นข้างต้นอย่างมาก และเห็นด้วยว่าจะต้องแก้รัฐธรรมนูญ แต่ก็ได้กลับไปดูข้อมูลในอดีต และพบว่าในช่วง 20 ปีคือ 2518-2538 ซึ่งจีดีพีไทยขยายตัวได้ดีมากที่สุดคือ 8% ต่อปีนั้น การเมืองก็ไม่ได้ดีงามแต่อย่างใด คือมี 1.นายกรัฐมนตรี 11 คน 2.มีการปฏิวัติรัฐประหารสำเร็จ 4 ครั้ง ไม่สำเร็จ 3 ครั้ง 3.มีรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ
แล้วตอนนั้นกับช่วง 2548-2568 แตกต่างกันอย่างไร?
- ตอนปี 2518 สถานการณ์วิกฤติมาก สหรัฐแพ้สงครามเวียดนาม เกรงว่าประเทศไทยจะเป็น the next domino to fall นอกจากนั้นยังมีวิกฤติ 6 ตุลาคม 2519 อีกด้วย
- มีวิกฤติราคาน้ำมันและเศรษฐกิจโลกถดถอย (2522-2525) ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤติการคลัง
- แต่หลังจาก 2528 เมื่อรอดพ้นวิกฤติดังกล่าวมาได้ ก็ได้นำก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยมาใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มีการเปลี่ยนสนามรบเป็นตลาดการค้าและค่าเงินประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นอย่างมาก ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย นอกจากนั้นประเทศเรา ณ ขณะนั้นมีประชากรในวัยทำงานเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ จีน อินเดีย อินโดนีเซียและอินโดจีน ยังไม่มีความพร้อมในการรับเงินทุนจากต่างประเทศ
- สรุปว่า การเมืองในช่วง 2518-2538 ย่ำแย่ไม่แพ้กับช่วง 2548-2568 แต่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยแข็งแรงและภูมิรัฐศาสตร์ก็คลี่คลายไปในทิศทางที่ดี รวมทั้งนโยบายของไทยที่ชาญฉลาดและปฏิบัติได้จริง นอกจากนั้นก็ไม่ได้มีองค์กรอิสระมาปลดนายกรัฐมนตรี หรือมายุบพรรค หรือมาตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
4.คุณธนาธรกับคุณบรรยงเห็นไม่ตรงกัน ในการให้รัฐบาลเป็นแกนนำในการพัฒนาอุตสาหกรรม เช่น คุณธนาธรอยากให้ไทยผลิตรถไฟ (train) ใช้เองได้ ซึ่งเป็น “infant industry argument” ที่นักเศรษฐศาสตร์เห็นมาบ่อยครั้งแล้วว่า มักเป็นทารกที่จะไม่ยอมโต ซึ่งผมก็คิดเช่นกันโดยเฉพาะการเดินรถไฟ ซึ่งเป็นธุรกิจผูกขาดที่เราเห็นมาโดยตลอดว่ามีประสิทธิภาพต่ำอย่างมาก
แต่ในส่วนอื่นๆ ที่คุณธนาธรเสนอคือ การให้รัฐลงทุนทำประปาดื่มได้ทั่วประเทศ (80,000 ล้านบาท) และการทำให้หลุมขยะของไทยได้มาตรฐาน (ลงทุน 100,000 ล้านบาท) นั้น ผมเห็นด้วยอย่างมากเพราะเป็นส่วนที่มี externalities (ประโยชน์/โทษ ที่ตลาดไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นกำไรหรือต้นทุนได้) จึงเป็นส่วนที่รัฐต้องมีบทบาทและส่วนร่วมอย่างมาก ซึ่งตรงนี้รวมถึงนโยบายเพื่อเผชิญกับโลกร้อนด้วย
5.ทั้ง 3 ท่านได้พูดถึงการที่ทุนใหญ่สามารถเข้าถึงอำนาจรัฐ (จึงเรียกเศรษฐกิจไทยว่าเป็น Crony Capitalism) ผลประโยชน์ของเศรษฐกิจจึงตกไปอยู่กับกลุ่มทุนไม่กี่เจ้า และทำให้เห็นการผูกขาดอย่างชัดเจนในอุตสาหกรรมหลักที่กระทบต่อต้นทุน และความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น การค้าปลีก การไฟฟ้า และโทรคมนาคม เป็นต้น ซึ่งทุนดังกล่าวจะต้องลงทุนลงแรงเพื่อรักษาความได้เปรียบ (ทางการเมือง) ดังกล่าวของตน หรือที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “rent seeking”
ในความเห็นของผมนั้น ยิ่งมีการรวมศูนย์อำนาจมากเท่าไหร่ (โดยเฉพาะในระบบเผด็จการ) กลุ่มทุนใหญ่ก็จะยิ่งเห็นถึงประโยชน์ และการต้องทุ่มเททรัพยากรเพื่อให้เข้าถึงศูนย์อำนาจดังกล่าวมากขึ้นเท่านั้น รวมทั้งการที่จะต้องสามารถครอบงำองค์กรอิสระที่ควรจะเป็นฝ่ายที่กำกับดูแลอุตสาหกรรมดังกล่าว
6.การที่อุตสาหกรรมภายในของไทยหลายด้านถูกผูกขาดโดยผู้ผลิตน้อยรายนั้น ผมไม่เห็นว่าอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจภายในโตได้อย่างเชื่องช้า เพราะผู้ที่ผูกขาดนั้นจะต้องตั้งราคาสูงกว่า และผลิตปริมาณที่น้อยกว่ากรณีที่มีการแข่งขันอย่างเสรีครับ







