สนค. เปิด 7 เทรนด์ แรงขับเคลื่อน พลิกโฉมวงการอาหารไทยปี’68

สนค. เผย ปี 67 ตลาดบริการร้านอาหารในประเทศไทยมีมูลค่าค้าปลีกสูงกว่า 9.67 แสนล้านบาท เฉลี่ยโต 13.76% ต่อปี จับตา 7 เทรนด์อาหารไทย โอกาสทองที่ผู้ประกอบการต้องไม่พลาด
KEY
POINTS
- สนค. ชี้เทรนด์อาหารปี 2568 จะมุ่งเน้นด้านสุขภาพและความยั่งยืน เช่น การบริโภคเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ การทำอาหารแบบไร้ขยะ และการสนับสนุนสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- การพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมเป็นปัจจัยสำคัญ ประกอบด้วยอาหารแปรรูปคุณภาพสูงที่สะดวกและมีรสชาติดี และการนำเสนออาหารย้อนยุคในรูปแบบใหม่ (Newstalgia) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง
- การสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าด้วยการออกแบบที่พิเศษ (Fancy Groceries) และการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสื่อสารไลฟ์สไตล์และสร้างการมีส่วนร่วม ยังคงเป็นกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนตลาด
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจอาหารไทยกำลังเผชิญกับคลื่นแห่งความท้าทายและโอกาส ปี 2567 ตลาดบริการร้านอาหารในประเทศไทยมีมูลค่าค้าปลีกสูงกว่า 9.67 แสนล้านบาท เติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 - 2567 ด้วยอัตราเฉลี่ย 13.76% ต่อปี
สะท้อนความแข็งแกร่งและศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารไทยในระยะยาว การเติบโตที่มั่นคงนี้ไม่เพียงเกิดจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤตต่าง ๆ แต่ยังสะท้อนถึงความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการปรับตัวและนำนวัตกรรมมาสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
ข้อมูลจาก Euromonitor บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำระดับโลก ระบุว่า ในปี 2567 ตลาดร้านอาหารของไทยมีมูลค่าค้าปลีก (Foodservice Value RSP (Retail Selling Price)) สูงกว่า 9.67 แสนล้านบาท เติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 - 2567 ด้วยอัตราเฉลี่ย (CAGR) 13.76% ต่อปี และเติบโต 5.17% เทียบกับปีก่อนหน้า
ประเภทร้านอาหารประกอบด้วย ร้านอาหารริมทาง แผงลอย และคีออส คิดเป็นสัดส่วน 32.35% ของมูลค่าค้าปลีกทั้งหมด รองลงมา คาเฟ่และบาร์ 29.5% ร้านอาหารจำกัดการให้บริการ 20.1% ร้านอาหารครบวงจร 17.99% และ ร้านอาหารแบบบริการตัวเอง 0.05% การกระจายตัวของประเภทธุรกิจ สะท้อนความหลากหลายในการบริโภคของคนไทย และเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการเลือกพัฒนาโมเดลที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของตน
ขณะเดียวกัน รายงานของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) เรื่อง A Taste of Tomorrow - Food Trends Shaping Thailand’s Restaurants in 2025 ได้สำรวจและวิเคราะห์แนวโน้มสำคัญที่กำลังเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคอาหารในประเทศไทย
โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความยั่งยืน และความเป็นเอกลักษณ์ เทรนด์เหล่านี้ไม่เพียงเป็นกระแสในระดับผู้บริโภค แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ของผู้ประกอบการร้านอาหารที่ต้องการสร้างความแตกต่างและยั่งยืนในตลาด โดยเทรนด์สำคัญที่สามารถใช้เป็นแนวทางกำหนดกลยุทธ์ในการเปลี่ยนแปลงวงการอาหารไทย ประกอบด้วย
1.อาหารแปรรูปคุณภาพสูง (High-end Preserved Foods) เทรนด์การรับประทานอาหารในปี 2568 อย่างแรกคือเน้นรับประทานอาหารที่เก็บรักษาได้นาน สะดวก และมีคุณภาพ เช่น อาหารแช่แข็ง อาหารแห้ง ผักดอง และอาหารกระป๋อง ซึ่งไม่เพียงแต่สะดวกในการเก็บรักษา แต่อาหารเหล่านี้ยังมีการผลิตที่มีคุณภาพและรสชาติระดับพรีเมียมมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าแม้จะเป็นอาหารแปรรูป แต่ก็สามารถนำมาปรุงรสชาติให้อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการได้
2.ความยั่งยืน (Sustainability) เทรนด์ที่สอง คือ การส่งเสริมความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทานมุ่งสู่แนวทางที่ยั่งยืน แสวงหาความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคม และต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ที่จะซื้อ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีการติดฉลากคาร์บอน เป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างความเชื่อมั่น
3.ทำอาหารแบบไร้ขยะ (Zero-Waste Cooking) การใช้วัตถุดิบให้คุ้มค่ามากที่สุดเพื่อลดการสูญเสีย และก่อให้เกิดนวัตกรรมอาหารใหม่ ๆ เช่น ใช้เปลือกผักมาทำซอสเข้มข้น ใช้เศษขนมปังมาทำขนมปังกรอบ ใช้เปลือกหรือผิวผลไม้มาทำลูกอม การนำกากกาแฟหรือเปลือกไข่ไปทำปุ๋ยหรือหมักเป็นสารทำความสะอาด ปัจจุบันสถานประกอบการหลายแห่งเลือกเมนูที่ไม่สร้างขยะ หรือนำหลักการไม่สร้างขยะมาใช้มากขึ้น
4.ร้านขายของชำแบบไม่ธรรมดาหรือสินค้าดีไซน์พิเศษ (Fancy Groceries or Designer Produces) เทรนด์ที่สี่ คือ การยกระดับสินค้าในร้านขายของชำทั่วไป เช่น เครื่องดื่ม ผลไม้ ผักสด ขนมขบเคี้ยว และอาหารบรรจุหีบห่อให้ราคาสูงขึ้นและคุ้มค่ามากขึ้น โดยเพิ่มเอกลักษณ์และความสร้างสรรค์ลงไปในสินค้า เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค นอกจากนี้ การนำเสนอสินค้าที่สะดุดตามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวบนแพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยให้ผู้บริโภครับรู้มากขึ้น
5.ความคิดในการนำเสนอรูปแบบใหม่ (Newstalgia) เป็นการนำเอาอาหารสไตล์ย้อนยุคมาปรับให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ ให้ผู้บริโภคเพลิดเพลินกับประสบการณ์ย้อนยุคและยุคใหม่เข้าด้วยกัน นั่นคือรสชาติที่คุ้นเคยควบคู่กับการนำเสนออาหารที่สร้างสรรค์ เป็นการกระตุ้นอารมณ์ผู้บริโภคได้ดีเยี่ยมและเพิ่มความน่าเชื่อถือในแบรนด์ เช่น ร้าน Sorn (ร้านอาหารมิชลิน 3 ดาวแห่งแรกของไทย) ที่นำอาหารใต้ดั้งเดิมมานำเสนอในรูปแบบทันสมัย
6.เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (Non-Alcohol Beverages) เติบโตถึง 31% ในปี 2567 โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากกระแสการดูแลรักษาสุขภาพ เช่น Orri Drink เครื่องดื่ม อัดลมชนิดแรกของไทยที่มีสารปรับสภาพร่างกาย มีคุณสมบัติพิเศษช่วยปรับสมดุลและบรรเทาความเครียด เครื่องดื่มชนิดนี้ไม่มีน้ำตาลและไม่มีแคลอรี เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ นอกจากนี้ กระแสความนิยมของการบริโภคชาและกาแฟที่ชงสดด้วยมือที่เพิ่มความพิถีพิถันในการชง และการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาและที่มาของผลิตภัณฑ์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
7.โซเชียลมีเดีย (Social Media) อินฟลูเอนเซอร์ด้านอาหารยังมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นยอดขายในปี 2568 ซึ่งการเผยแพร่ผ่านสื่อโซเซียลมีเดียเน้น 5 เรื่อง ได้แก่ ความยั่งยืน เมนูสร้างสรรค์
ประสบการณ์แบบมีส่วนร่วม วิดีโอสั้นผ่าน Instagram Reels และ TikTok และ เน้นขายทั้งอาหารและไลฟ์สไตล์ที่เกี่ยวข้อง การใช้โซเชียลมีเดียไม่เพียงแต่เน้นที่อาหารหรือผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงไลฟ์สไตล์และบรรยากาศที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ด้วย
“พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์” ผู้อำนวยการสนค. กล่าวว่า จากข้อมูลสถิติการจดทะเบียนธุรกิจร้านค้า ร้านอาหารช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) พบว่ามีจำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ 1,832 ราย และมีธุรกิจที่ยกเลิกกิจการ 276 ราย
แสดงให้เห็นว่าธุรกิจนี้เต็มไปด้วยการแข่งขันสูงและความท้าทายด้านแนวคิดและการบริการ ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้า/ ร้านอาหารควรติดตามเทรนด์ของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด และประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายในโลกออนไลน์ โดยเทรนด์อาหารข้างต้นอาจมีส่วนช่วยในการตัดสินใจในการบริหารจัดการ และเข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น
นอกจากนี้ ความตระหนักถึงเรื่องสุขภาพ และการรักษาสิ่งแวดล้อม ถือเป็นอีกปัจจัยการตลาดที่จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคให้รู้สึกคุ้มค่าและประทับใจสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้น และนำไปสู่การกลับมาซื้อซ้ำหรือใช้บริการซ้ำ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ







