ทรัพยากรมหาศาลที่แอบซ่อน

ทรัพยากรมหาศาลที่แอบซ่อน

ผมชอบเขียนเรื่องที่ยังไม่มีใครเขียนถึงมากนัก โดยเฉพาะเรื่องสำคัญๆ ที่คนส่วนใหญ่อาจมองข้าม ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมขอเขียนถึงเรื่องหนึ่งที่สำคัญและลึกลับอย่างเหลือเชื่อ

คนทั้งโลกมักลืมนึกถึง ทั้งๆ ที่มันมีปริมาณและมูลค่ามหาศาล

โลกเรามีพื้นที่ผิวโลกประมาณ 510 ล้านตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นพื้นผิวดินประมาณ 29% และเป็นพื้นผิวทะเล 71% (361 ล้านตารางกิโลเมตร) ในส่วนพื้นที่ผิวทะเลนี้เป็น “ทะเลลึก” ตามคำจำกัดความคือลึกเกินกว่า 200 เมตร ประมาณ 321 ล้านตารางกิโลเมตร และเป็นทะเลปกติที่ลึกน้อยกว่า 200 เมตร ประมาณ 40 ล้านตารางกิโลเมตร

ดังนั้น เกือบ 2 ใน 3 ของผิวโลกจึงเป็นทะเลลึก แต่เชื่อหรือไม่ว่า 1% ของพื้นที่ทะเลลึกเท่านั้นที่มีการศึกษาค้นคว้า อีก 99% เรียกได้ว่าอยู่ในความมืด รู้แต่ว่าใต้พื้นทะเลลึกมีแร่ธาตุและทรัพยากรอยู่มากมาย

ในพื้นที่ทะเลลึกมีเพียงส่วนน้อยมากเท่านั้นที่เป็นพื้นที่ของบางประเทศ (อยู่ในขอบเขต 200 ไมล์ทะเล) พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของทุกคนในโลกที่รอคอยการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมหรือการถูกทำลายอย่างน่ากลัว

ใช่แล้วครับ เรื่องที่กล่าวถึงในวันนี้คือ การทำเหมืองแร่จากพื้นใต้ทะเลลึก ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่เกินพรรณนาซึ่งหากรวมปริมาณน้ำทะเลจากบริเวณนี้ทั้งหมดแล้วจะเป็น 90% ของน้ำทะเลทั้งโลก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีความลึกเฉลี่ย 4 ถึง 5.5 กิโลเมตร บางบริเวณลึกถึง 8 กิโลเมตร

ในบริเวณใต้พื้นทะเลลึกหรือก้นมหาสมุทรที่มีการศึกษาอย่างพอควรพบว่า ในแต่ละชั้นของความลึกมีแร่ธาตุต่างประเภทกระจายตัวอยู่ในก้อนดินหินแร่จากพื้นทะเลหนัก 100 กิโลกรัม ในชั้นลึกสุดมีแมงกานีสอยู่มากถึง 30% นิเกิล 1.5% (ใช้ผลิตแบตเตอรี่รถไฟฟ้า) ทองแดง 1% (ผลิตลวดไฟฟ้า) และมีแร่ธาตุประเภท rare earth (ใช้ผลิตอุปกรณ์ไอที) 

 

 

ในชั้นตื้นขึ้นมามีทองแดง 10-30% สังกะสี 10-20% ทองคำ 10-20% แร่เงินอยู่หนาแน่น และชั้นตื้นสุดลึกระดับ 800 เมตร ถึง 2.5 กิโลเมตร พบโคบอลท์รวมทั้งแร่ธาตุต่างๆ ของชั้นกลางในปริมาณที่น้อยลง ตัวเลขเหล่านี้มาจากงานศึกษาในบริเวณที่เชื่อว่ามีแร่ธาตุอยู่มากซึ่งได้แก่ บริเวณที่เรียกว่า Clarion-Clipperton Zone ที่อยู่ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกระหว่างเม็กซิโกกับฮาวายครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 6 ล้านตารางกิโลเมตร

ตัวเลขของปริมาณแร่ธาตุดังกล่าวทำให้น้ำลายไหลเพราะเป็นมูลค่ามหาศาล แต่อย่าเพิ่งดีใจเพราะทะเลลึกเหล่านี้เต็มไปด้วยความมืด (แสงแดดส่องลงไปไม่ถึงเพราะแค่ลึกลงไป 200 เมตรก็ไม่เห็นแสงแล้ว) ความหนาวยะเยือกและแรงดันที่สูงกว่าอากาศปกติมาก (ลึก 4 กิโลเมตรแรงกว่า 400 เท่า) และด้วยความลึกเป็นกิโลเมตรเช่นนี้ การทำเหมืองใต้ทะเลจึงเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง

เทคโนโลยีในปัจจุบันยังไปไม่ถึงการทำเหมืองใต้ทะเลลึกอย่างเป็นเรื่องเป็นราวทางการค้าได้ เทคโนโลยีในปัจจุบันที่ใช้กันก็มีอยู่ 4วิธีคือ (1) ใช้ถังตักวัสดุขึ้นมาจากใต้ทะเลเรียงเป็นแถวอย่างต่อเนื่อง (2) ใช้เรือควบคุมทางไกลดูดทรายและหินแร่ธาตุขึ้นมาจากใต้ทะเล (3) ขุดพื้นและใช้ปั้มดูดวัสดุขึ้นมาบนเรือ (4) พาหนะขับเคลื่อนบนผิวดินขุดหินขุดทรายและเก็บแร่ธาตุ การสกัดแร่ธาตุส่วนใหญ่กระทำบนเรือที่จอดอยู่และทิ้งกากลงทะเล

ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาของการแข่งขันการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องจักรเครื่องมือเพื่อเร่งการขุดค้น เพราะโลกยังไม่มีกฎกติกาละเอียดอย่างชัดเจนในการบุกเบิกทำเหมือง มีองค์กรระหว่างประเทศชื่อ ISA (The International Seabed Authority) เป็นผู้ให้ใบอนุญาตในการบุกเบิกค้นคว้าในพื้นที่รวมประมาณ 1.5 ล้านตารางกิโลเมตร ในพื้นที่ทะเลลึกทั้งหมด 321 ล้านตารางกิโลเมตร ! ประเทศที่เป็นตัวละครหลักในการได้รับใบอนุญาตรวมกว่า 30 สัญญาคือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และฝรั่งเศส

ที่น่าสังเกตก็ คือ ใบอนุญาตเกือบทั้งหมดอยู่ในบริเวณ Clarion-Clipperton Zone ทั้งสิ้น ซึ่งหมายความว่าการศึกษาค้นคว้าและหาประโยชน์ในปัจจุบันกระจุกตัวอยู่ในบริเวณเดียวของโลกที่มีพื้นที่ 6 ล้านตารางกิโลเมตรเท่านั้น

ยังมีพื้นที่อีกมากมายที่ยังไม่มีการศึกษาและไม่มีใครสนใจไปบุกเบิก ทั้งที่มีทรัพยากรอยู่อีกมหาศาลเพราะยังไม่มีเทคโนโลยีในการขุดมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และอาจถือว่าเป็นความโชคดีของชาวโลก ที่ยังมีทรัพยากรเหลืออยู่ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างความก้าวหน้าของเทคโนโลยี กับการออกระเบียบกฎเกณฑ์ให้เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติที่สุด 

ประเด็นท้าทายในเรื่องนี้ได้แก่ (1) ไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนว่าการทำเหมืองทะเลลึกจะก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมแก่โลกอย่างไรและมากน้อยเพียงใด เป็นที่หวั่นเกรงว่าหากทำเหมืองแล้วธรรมชาติก็จะกลับมาอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ระบบนิเวศทางทะเลจะถูกทำลาย ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบระยะยาวทั้งความหลากหลายทางชีวภาพเพียงใด และจะไปกระทบระบบเก็บก๊าซคาร์บอนที่เป็นก๊าซเรือนกระจกของท้องทะเลลึกหรือไม่ 

(2) ไม่มีความแน่นอนของวิชาการทางวิทยาศาสตร์ นักวิชาการจำนวนมากเชื่อว่ายังไม่มีความรู้อย่างเพียงพอในปัจจุบันที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าการทำเหมืองไม่เป็นผลเสียอย่างฉกรรจ์ โดยต้องไม่ลืมว่าระบบนิเวศของทะเลลึกอาจใช้เวลานับร้อย ๆ ปีกว่าที่จะกลับมาเป็นปกติหลังจากการทำเหมือง  (3) ยังไม่มีกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศที่เพียงพอต่อการดูแลการทำเหมือง ประเทศใหญ่ที่ได้ทำเหมืองจะเป็นมหาอำนาจเป็นเจ้าอาณานิคมของการตักตวงหาประโยชน์จากน่านน้ำสากล (4) หลายประเทศผลักดันให้หยุดการบุกเบิกทำเหมืองไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีความพร้อมกว่าในปัจจุบัน

สมบัติใต้พื้นทะเลเป็นของชาวโลกและเป็นทรัพยากรยิ่งใหญ่ที่ยังเหลืออยู่ หาก UN ไม่รีบกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนกว่าปัจจุบันแล้ว อีกไม่นานเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในการขุดขึ้นมาหาประโยชน์ (เชื่อมือ AI เถอะ) และถึงตอนนั้นจะถูกแรงกดดันจาก “พลังน้ำลายไหล” ของทั้งผู้ขุดและของชาวโลกผู้ต้องการใช้แร่ธาตุเหล่านี้ในราคาถูกให้เปิดฉากการรุกอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่

ไม่ว่าการแข่งขันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้อพึงระวังทางเศรษฐศาสตร์จากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นสาธารณะก็คือ “สิ่งที่เป็นสมบัติของทุกคน จะมิใช่สมบัติของใครเลย”