ราคาน้ำมันดิบทรงตัว หลังจากพุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (3 ก.ค.) ว่าราคาน้ำมันดิบทรงตัวหลังจากพุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ จากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐประกาศข้อตกลงการค้ากับเวียดนาม ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าจะมีข้อตกลงเพิ่มเติมภายในสัปดาห์หน้า

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ซื้อขายใกล้ระดับ 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้น 3% ในวันพุธ (2 ก.ค.) โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) พุ่งขึ้นเหนือ 67 ดอลลาร์ ข้อตกลงกับเวียดนามจะเป็นข้อตกลงที่สามที่ประกาศต่อจากข้อตกลงกับอังกฤษและจีน ขณะคู่ค้าเร่งเจรจาทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ก่อนกำหนดเส้นตายในวันที่ 9 กรกฎาคม

ราคาน้ำมันดิบถูกกระทบอย่างหนักในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพุ่งสูงและร่วงลงแรงไปกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง โดยความผันผวนจะเริ่มคลี่คลายลงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

ปัจจุบันตลาดมุ่งความสนใจไปที่การเจรจาการค้าและภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความต้องการน้ำมัน รวมถึงการประชุมกลุ่มโอเปกพลัส ในวันอาทิตย์ ซึ่งคาดว่ากลุ่มโอเปกจะตกลงกันเรื่องการเพิ่มโควตาการผลิตอีกครั้ง

ที่สหรัฐฯ ปริมาณสำรองน้ำมันดิบทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 3.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่ปริมาณน้ำมันดิบที่คลังในเมืองคุชชิง รัฐโอคลาโฮมา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการจัดเก็บน้ำมัน ลดลงเป็นสัปดาห์ที่สี่ และอยู่ที่ระดับต่ำสุดตามฤดูกาลตั้งแต่ปี 2014

ตัวชี้วัดตลาดที่ถูกจับตามองอย่างกว้างขวางชี้ให้เห็นสัญญาณของความแข็งแกร่งด้านราคาน้ำมัน เนื่องจากคลื่นความร้อนที่ยังคงดำเนินต่อไปและฤดูขับรถในสหรัฐฯ ช่วยหนุนอุปสงค์ ส่วนต่างราคาน้ำมันดิบเบรนท์ระหว่างสัญญาที่ใกล้หมดอายุมากที่สุดสองสัญญาอยู่ที่ 1.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลโดยราคาปัจจุบันสูงกว่าราคาในอนาคต 

แม้ว่าราคาจะลดลงจากระดับที่สูงขึ้นในช่วงสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ก็เพิ่มขึ้น 69 เซ็นต์จากเดือนที่แล้ว

อัปเดตราคาเช้านี้ (3 ก.ค.)

ราคาน้ำมันเบรนท์สำหรับการส่งมอบในเดือนกันยายนลดลง 0.3% เหลือ 68.87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อเวลา 8.20 น. ตามเวลาในสิงคโปร์

ราคาน้ำมันดิบ WTI สำหรับการส่งมอบในเดือนสิงหาคมลดลง 0.3% เหลือ 67.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล