พิษชายแดนเดือด 'กัมพูชา' แบนน้ำมัน ฉุดโรงกลั่น - บริษัทน้ำมันไทย

ความตึงเครียดบริเวณชายแดนระหว่าง "ไทย-กัมพูชา" พุ่งสูงขึ้น ล่าสุด นายกรัฐมนตรี "ฮุน มาเนต" ของกัมพูชา สร้างความตกตะลึงด้วยการประกาศระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซทั้งหมดจากประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เริ่มตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน นี้ เวลา 00.01 น. มาตรการเฉียบขาดครั้งนี้อาจส่งผลให้ประเทศไทยเสี่ยงสูญเสียรายได้มหาศาล และเป็นที่จับตาว่าผลกระทบที่แท้จริงจะรุนแรงแค่ไหนหากการแบนยืดเยื้อ

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน พบว่า ตัวเลขการส่งออกพลังงานของไทยไปยังกัมพูชาในปี 2567 (มกราคม-ธันวาคม) ดังนี้:

ปริมาณรวม : ประเทศไทยส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปกัมพูชารวม 2,288.82 ล้านลิตร หรือเฉลี่ยวันละ 6.254 ล้านลิตร
สัดส่วน : คิดเป็น 21.1% ของปริมาณการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมดของไทย

มูลค่า : การส่งออกนี้มีมูลค่าสูงถึง 47,988 ล้านบาท
อันดับ : กัมพูชาถือเป็นคู่ค้าการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงอันดับ 2 ของไทย เป็นรองเพียงสิงคโปร์ ที่ไทยส่งออกมากที่สุด มีมูลค่า 49,601 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25.9% เท่านั้น

ชนิดน้ำมัน และก๊าซสำคัญที่ไทยส่งออก (ปี 2567) :

น้ำมันเบนซิน : รวม 1,002.39 ล้านลิตร (ประกอบด้วย ออกเทน 91, 92 และเบนซินทั่วไป)

น้ำมันดีเซล : รวม 1,136.18 ล้านลิตร (ดีเซลพื้นฐาน และกำมะถันสูง)

น้ำมันเครื่องบิน : 71.62 ล้านลิตร
น้ำมันเตา : 23.34 ล้านลิตร
ก๊าซแอลพีจี : 29.85 ล้านกิโลกรัม

โดยบริษัทน้ำมัน และโรงกลั่นชั้นนำของไทยหลายแห่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งออกนี้ เช่น OR, PTT, IRPC, Susco, Thai Oil, และ Star Refinery รวมถึงผู้ค้าแอลพีจีรายใหญ่อย่าง บางจาก ศรีราชา, ไออาร์พีซี, โออาร์, ยูนิคแก๊ส เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขมูลค่าการส่งออกในปีที่ผ่านมา จะสูงเกือบ 4.8 หมื่นล้านบาท แต่การประเมินความเสียหายทั้งหมดจากการสั่งระงับการนำเข้าทั้งน้ำมัน และก๊าซจากไทยของกัมพูชาในครั้งนี้ ยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และต้องรอดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

เนื่องจากมูลค่าความสูญเสียจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ หากการแบนยืดเยื้อออกไป ย่อมส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อรายได้ และภาคธุรกิจพลังงานของไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์