ธุรกิจไทย รั้งท้ายอาเซียนใช้นวัตกรรม ‘สภาพัฒน์’ ห่วงแข่งขันยาก  

ธุรกิจไทย รั้งท้ายอาเซียนใช้นวัตกรรม  ‘สภาพัฒน์’ ห่วงแข่งขันยาก  

“สภาพัฒน์” เผยข้อมูลธุรกิจไทย รั้งท้ายอาเซียนในการใช้นวัตกรรม แถมงบฯ R&D สุดต่ำ ห่วงสัญญาณแข่งขันยาก ปิดกิจการพุ่ง ขณะที่ฟิลิปปินส์-เวียดนาม นำโด่ง!ในอาเซียน

สถานการณ์แรงงานไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยของไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกประเทศที่เกิดมาจากสงครามการค้าระลอกใหม่ จนะกระทบยอดขายและการผลิตต่อเนื่อง ขณะที่อีกมุมหนึ่งภาคการผลิตของไทยยังขาดพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในระดับต่างๆ ส่งผลต่อเนื่องไปในเรื่องของยอดขาย การผลิต การจ้างงาน ที่ลดลงทำให้โรงงานและกิจการปิดตัวไปอย่างมากในช่วงปีก่อน และช่วงต้นปีที่ผ่านมา

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่าประเด็นด้านแรงงานที่ต้องให้ความสำคัญเรื่องหนึ่งก็คือการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)  โดยข้อมูลจาก รายงาน Thailand Economic Monitor February 2025 ของธนาคารโลก 2

พบว่า ธุรกิจในไทยมีการใช้นวัตกรรม ในกิจกรรมต่าง ๆ ในสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีการนำมาใช้ในกระบวนการผลิตเพียง 11.9% น้อยกว่าประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม และมาเลเซีย ที่มีสัดส่วนถึง 40.9%  37.9% และ 37.3% ตามลำดับ

อีกทั้ง ยังมีการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาที่ค่อนข้างต่ำซึ่งถือเป็นข้อจำกัดต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ และอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ในปี 2567 ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กมีการจดทะเบียนเลิกกิจการไปเกือบ 2.4 หมื่นแห่ง และมีโรงงานเลิกกิจการไปกว่า 1,234 โรงงาน

โดยเป็นโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นหลัก ทำให้กระทบกับแรงงานกว่า 3.5 หมื่นคน ซึ่งโรงงานที่เลิกกิจการส่วนใหญ่เป็นโรงงานในภาคการผลิตที่มีปัญหา ด้านความสามารถในการแข่งขัน

ทั้งนี้สศช.เสนอแนะว่าควร ส่งเสริมให้ SME ไทยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อเพิ่มโอกาสในการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยี มาใช้ในการยกระดับกระบวนการผลิต ลดต้นทุน และรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาด ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยปัจจุบัน SME รองรับ แรงงานไว้กว่า 12.9 ล้านคน ซึ่งหากสามารถ รักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ จะส่งผลดี ต่อสถานะการจ้างงานและรายได้ของแรงงานด้วย

ก่อนหน้านี้ธนาคารโลกเปิดเผยผลสำรวจสัดส่วนของธุรกิจที่มีกิจกรรมด้านนวัตกรรมในกลุ่มประเทศอาเซียน พบว่า ฟิลิปปินส์และเวียดนาม มีสัดส่วนธุรกิจที่ดำเนินกิจกรรมด้านนวัตกรรมสูงที่สุดเมื่อเทียบกับไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยจากข้อมูล “Thailand Economic Monitor กุมภาพันธ์ 2025” ระบุถึงอันดับของประเทศที่มีการใช้นวัตกรรมในการผลิตสินค้า การนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ รวมทั้งการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ตามลำดับดังนี้

1.ฟิลิปปินส์ มีธุรกิจที่ทำ “นวัตกรรมกระบวนการผลิต” สูงสุดที่ 40.9% ตามด้วยการนำเสนอสินค้า/บริการใหม่ 32.9% การใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศ 11.2% และการใช้จ่ายด่านการวิจัย และพัฒนา 21.9%

2.เวียดนาม ตามมาเป็นอันดับสอง มีธุรกิจที่ทำ “นวัตกรรมกระบวนการผลิต” ที่ 37.9% การนำเสนอสินค้า/บริการใหม่ 23.2% และการใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศ 10.8%  และการใช้จ่ายด่านการวิจัย และพัฒนา 15.7%

3.มาเลเซีย มีธุรกิจที่ทำ “นวัตกรรมกระบวนการผลิต” 37.3% การใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศ 23% และการนำเสนอสินค้า/บริการใหม่ 3.5% และมีการใช้จ่ายด่านการวิจัย และพัฒนา 10.5%

4.อินโดนีเซีย มีธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศสูงสุดในกลุ่มที่ 23.7% แต่สัดส่วนนวัตกรรมกระบวนการผลิตอยู่ที่ 11.4% และการนำเสนอสินค้า/บริการใหม่ 6.2% ส่วน

5.ไทย มีสัดส่วนธุรกิจที่ทำ “นวัตกรรมกระบวนการผลิต” ต่ำที่สุดในกลุ่มที่เพียง 11.9% การใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศ 5.6% การนำเสนอสินค้า/บริการใหม่เพียง 8.2% และการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนามีเพียง 1.1% ท่านั้น

โดยผลสำรวจนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยยังมีช่องว่างและศักยภาพในการเร่งส่งเสริมการลงทุนด้านนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค และทำให้เอสเอ็มอีของไทยเราปรับตัวในภาวะการแข่งขันที่รุนแรได้ยาก

ทั้งนี้ สศช.ได้เสนอแนะให้ทั้งภาครัฐและเอกชนให้ควสามสำคัญกับการเพิ่มการพัฒนาและใช้นวัตกรรมในขั้นตอนการผลิตให้เพิ่มขึ้นเพื่อให้สามารถยกระดับการผลิตของเอสเอ็มอีไทยให้ไปไกลในระดับโลก