ขนส่งทางรางโอกาสทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีเสริมศักยภาพบริการ

งาน Asia Pacific Rail 2025 ซึ่งเป็นงานการประชุมทางวิชาการและการจัดนิทรรศการด้านระบบรถไฟที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย
ภายในงานได้รวบรวมผู้ผลิต ผู้เชี่ยวชาญ นักพัฒนาและผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนางานระบบรางทั่วโลก มาร่วมประชุมและเปลี่ยนความรู้และจัดแสดงนวัตกรรม
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า การขนส่งทางรางถือเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาระบบขนส่งของประเทศ ภายใต้นโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสของประเทศไทย” กระทรวงคมนาคมมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนบทบาทของการขนส่งทางรางให้เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพิ่มความปลอดภัย ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างเร่งรัดการประกาศใช้พระราชบัญญัติการขนส่งทางราง และพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การเดินทางด้วยรถไฟ พร้อมเดินหน้าผลักดันโครงการสำคัญ อาทิ รถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วง และรถไฟชานเมืองสายสีแดง รวมถึงนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าราคา 20 บาทตลอดสาย ซึ่งจะช่วยจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ระบบรางมากยิ่งขึ้น
นอกจากการพัฒนารถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลแล้ว กระทรวงคมนาคมยังมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพการให้บริการรถไฟระหว่างเมืองและพัฒนาสถานีรถไฟให้เหมาะกับผู้ใช้งานทุกคน ปัจจุบันการก่อสร้างรถไฟรางคู่ แล้วเสร็จกว่า 861 กิโลเมตร และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 132 กิโลเมตร โดยเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดเดินรถไฟทางคู่ สายลพบุรี-ปากน้ำโพอย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมุ่งพัฒนาศักยภาพการผลิตหัวรถจักรและตู้โดยสารภายในประเทศ โครงการทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเครือข่ายระบบรางที่ไร้รอยต่อ มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ และยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคในอนาคต
ในส่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ส่งผู้แทนร่วมประชุมทางวิชาการ และจัดแสดงนิทรรศการ โดยนำระบบควบคุมรถไฟตามมาตรฐานมาตรฐานยุโรป (ETCS) ระบบควบคุมอาณัติสัญญาณจากศูนย์กลาง (CTC) ระบบอาณัติสัญญาณควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ (CBI) นอกจากนี้ รฟท. ได้นำวงจรไฟตรวจสอบขบวนรถ หรือ Track circuit โทรศัพท์ราง หรือประแจโคลไฟฟ้า เครือข่ายโทรคมนาคมที่วางสาย Optic ทั่วประเทศ โดยใช้ระบบที่ทันสมัย หรือเรียกว่าระบบ DWDM กับ MPLS ร่วมจัดแสดงในงานฯ
นายวีริศ อัมระปาลผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2โดยระบุว่า ตามแผนพัฒนา 7 เส้นทาง ขณะนี้ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วจำนวน 1 เส้นทาง คือขอนแก่น - หนองคายปัจจุบัน รฟท.เปิดประมูลแล้วเสร็จ พร้อมออกหนังสืออนุญาตเข้าพื้นที่ (NTP) เริ่มงานก่อสร้างเมื่อ เม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันเหลือ 6 โครงการที่อยู่ในขั้นตอนรอเสนอ ครม.เพื่อดำเนินโครงการ วงเงินรวมเกือบ 3 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ดี ตามแผนดำเนินงาน รฟท.จะเสนอ 6 โครงการดังกล่าวเพื่อผลักดันโครงการและเปิดประกวดราคาไปพร้อมกัน ซึ่งสถานะปัจจุบัน รฟท.ได้เสนอโครงการไปยังกระทรวงคมนาคม และผ่านการอนุมัติแล้ว รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบให้ดำเนินการ เหลือเพียงสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่มีหนังสือให้ รฟท.ตอบกลับเพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่ง รฟท.ได้เตรียมข้อมูลแล้วเสร็จ เตรียมตอบกลับไปยัง สศช.ในเดือน มิ.ย.นี้
สำหรับประเด็นที่ สศช.สอบถามเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 อาทิ ความคุ้มค่าทางการลงทุน หลักเกณฑ์การคัดเลือกจัดลำดับการก่อสร้างทั้ง 6 โครงการ เนื่องจาก รฟท.เสนอลงทุนพร้อมกันทั้ง 6 เส้นทาง รวมไปถึงแนวทางการหารายได้หลังการพัฒนารถไฟทางคู่ และการพัฒนาศูนย์ขนส่งสินค้าที่จะเกิดขึ้นทั้งนี้ รฟท.ยืนยันว่าทุกโครงการมีความสำคัญ และพร้อมเริ่มก่อสร้าง และกำหนดแผนจะเร่งผลักดันรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ทั้งหมด 6 เส้นทาง เพื่อเริ่มก่อสร้างในเดือน พ.ค.2569
สำหรับ 6 โครงการรถไฟทางคู่ที่จะนำมาเปิดประมูลหลังจากนี้ วงเงินรวมกว่า 2.9 แสนล้านบาท ประกอบด้วย
1. รถไฟทางคู่ช่วงปากน้ำโพ - เด่นชัยระยะทาง 281 กิโลเมตร วงเงิน 81,143 ล้านบาท
2. ช่วงชุมทางถนนจิระ - อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กิโลเมตร วงเงิน 44,103 ล้านบาท
3. ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร วงเงิน 30,422 ล้านบาท
4. ช่วงสุราษฎร์ธานี – หาดใหญ่ - สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร วงเงิน 66,270 ล้านบาท
5.ช่วงหาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ระยะทาง 45 กิโลเมตร วงเงิน 7,900 ล้านบาท
6. ช่วงเด่นชัย - เชียงใหม่ระยะทาง 189 กิโลเมตร วงเงิน68,222 ล้านบาท







