‘ไทย’ ลั่นลดเกินดุลสหรัฐ 1.5 หมื่นล้าน พร้อมสร้างการค้าที่เป็นธรรม

ไทยให้คำมั่น ‘ลดช่องว่างการค้า’ กับสหรัฐให้ได้มากที่สุด ราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ชูข้อเสนอทางการค้า 5 ข้อ เพื่อลดการขาดดุลการค้า พร้อมสร้างการค้าที่เป็นธรรม และสมดุลให้กับสหรัฐ
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย กล่าวย้ำในการเปิดงานประชุมสุดยอดการค้า และการลงทุนระหว่างไทย และสหรัฐ (Thailand-U.S. Trade & Investment Summit 2025) เมื่อวันอังคารที่ 20 พ.ค.68 ว่า ไทยมีความมุ่งมั่นนำนโยบายต่อต้านการหลบเลี่ยงการค้ามาใช้ปฏิบัติจริง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยจะสร้างความร่วมมือที่ยุติธรรม และสมดุลในด้านการค้า และการลงทุนกับสหรัฐในระยะยาว และตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐสูงสุด 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี
อย่างไรก็ตาม รมว.คลังไม่ได้เปิดเผยว่าการลดการขาดดุลดังกล่าวจะบรรลุผลเมื่อใด แต่เผยว่าไทยมีความมุ่งมั่นจะเพิ่มปริมาณการนำเข้าอย่างมาก ซึ่งจะช่วยลดความไม่สมดุลทางการค้าให้ได้ครึ่งหนึ่งภายใน 5 ปีหรือเร็วกว่านั้น
ทั้งนี้เป้าหมายการลดการขาดดุล1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี คิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของมูลค่าการค้าของไทยที่เกินดุลสหรัฐ 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2567
ในการลดการขาดดุล รมว.พิชัย รับรองว่า อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และอาหารสัตว์ของไทยมีศักยภาพพอที่จะซื้อวัตถุดิบเพิ่มเติมจากสหรัฐในราคาที่แข่งขันกันได้ เพื่อสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงตลาดสหรัฐ และอาจยกเลิกภาษีศุลกากรต่อผลิตภัณฑ์บางรายการของสหรัฐขณะเดียวกันไทยจะนำเข้าผลผลิตการเกษตรหรือสินค้าชนิดอื่นๆ ที่ปลูกหรือผลิตในสหรัฐมากขึ้นด้วย
ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดร.นลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย ได้นำคณะนักธุรกิจไทยในภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญร่วมงาน SelectUSA 2025 ซึ่งการเข้าร่วมงานดังกล่าวตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของไทยที่จะสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจกับสหรัฐ ผ่านการลงทุนในสหรัฐให้มากขึ้น
ปัจจุบันการลงทุนของธุรกิจไทยในสหรัฐเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้แตะ 17,000 ล้านดอลลาร์ จากการลงทุนมากกว่า 20 รัฐในสหรัฐ
รมว.พิชัย ยังได้กล่าวถึงกรอบข้อเสนอการค้าของไทยที่ยื่นต่อสหรัฐซึ่งเป็นข้อเสนอที่ไทยหวังว่าจะช่วยให้สองประเทศได้เริ่มการเจรจาการค้าอย่างเป็นทางการ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐที่เรียกเก็บจากไทยในอัตรา 36%
ข้อเสนอ 5 ข้อของไทย ได้แก่ 1.เสริมความร่วมมือธุรกิจอาหารแปรรูปไทย และสหรัฐ 2.เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 3.เปิดตลาด และลดอุปสรรคทางการค้า 4.แก้ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า 5.ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐซึ่งจะช่วยสร้างงาน และจะสร้างผลประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ
ข้อเสนอดังกล่าวเป็นข้อเสนอที่สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สหรัฐ กล่าวถึงว่าดีมาก
อย่างไรก็ดี เบสเซนต์ได้ให้สัมภาษณ์กับ NBC News ในสัปดาห์นี้ว่า สหรัฐอาจจะใช้อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ที่เคยประกาศไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย. กับประเทศคู่ค้า “ที่ไม่เจรจาข้อตกลงการค้าอย่างซื่อตรง” โดยรัฐบาลสหรัฐโฟกัสไปที่พันธมิตรทางการค้าที่สำคัญที่สุดของสหรัฐ 18 ราย ส่วนเรื่องระยะเวลาของแต่ละดีลนั้นขึ้นอยู่กับว่าประเทศต่างๆ เจรจากันด้วยความซื่อตรงหรือไม่ โดยจะมีการส่งหนังสือแจ้งประเทศที่เสี่ยงต่อการถูกเก็บภาษีอัตราเดิมตามมา
“ผมมั่นใจว่าเรามีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม และมีความเป็นไปได้ซึ่งสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย (win-win) และประสบผลสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม” พิชัย กล่าว
และย้ำว่า รัฐบาลไทยได้เริ่มการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการสวมสิทธิสินค้าอย่างจริงจังแล้ว
ขณะนี้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการปรับลดภาษีศุลกากรตอบโต้ของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกเก็บหลังวันที่ 2 เม.ย. ในอัตรา 36% เหลือเพียงอัตราพื้นฐาน10% เป็นเวลา 90 วัน เพื่อรอผลการเจรจาการค้าระหว่างกัน
ไทยพร้อมรับสหรัฐลงทุน
นอกจากให้คำมั่นสร้างสมดุลการค้าให้กับสหรัฐ รมว.คลัง ยังได้เชิญชวนนักลงทุนอเมริกันเข้ามาลงในไทยเพิ่มในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญ และเน้นย้ำไทยยังคงเป็นประเทศที่น่าลงทุนอย่างมาก
พิชัยเผยประเทศไทย และสหรัฐมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาอย่างยาว และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแข็งแกร่งมากขึ้นจากสนธิสัญญาไมตรี และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหรัฐ (Treaty of Amity and Commerce)
รัฐมนตรีคลัง กล่าวว่า ในช่วง 50-60 ปีที่ผ่านมา สหรัฐช่วยพัฒนาภาคพลังงานของไทย โดยเฉพาะด้านการขุดเจาะ และการสำรวจแหล่งพลังงาน แม้ในอดีตไทยสามารถพึ่งพาทรัพยากรด้านพลังงานในประเทศได้เกือบ 100% แต่ตอนนี้การพึ่งพาพลังงานในประเทศลดลงเหลือ 40% ดังนั้นช่องว่างอีก 60% ต้องพึ่งการนำเข้า ซึ่งไทยพร้อมเปิดรับการลงทุนด้านพลังงานจากสหรัฐ
รองนายกฯ ย้ำ ไทยยังมีพื้นที่ให้สำรวจแหล่งพลังงานหลายแห่งในฝั่งตะวันตก ทะเลอันดามัน และใต้ทะเลลึก และว่าไทยเปิดประตูพร้อมรับการลงทุนอยู่เสมอ
รัฐมนตรีคลังเสริมกล่าวอีกว่าไทยยังคงเปิดรับพาร์ตเนอร์ด้านโครงสร้างความมั่นคง และความปลอดภัยทางดิจิทัลรายใหม่อย่างต่อเนื่องหลังจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของสหรัฐอาทิ อะเมซอนเว็บเซอร์วิส (Amazon Web Services), กูเกิล (Google) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) ประกาศลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในไทยแล้ว
นอกจากนี้ ไทยยังยินดีต้อนรับผู้เชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนความมุ่งมั่นการเปลี่ยนผ่านสีเขียวของประเทศ และต้องการร่วมงานกับภาคธุรกิจสหรัฐอีกหลายด้าน ทั้งเทคโนโลยีชีวภาพ การเกษตร อาหารแปรรูปการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และบริการทางการแพทย์ที่ล้ำสมัย
พิชัยยังอ้างอิงข้อมูล FDI Confidence Index 2025ของ Kearney เผยว่า ประเทศไทยครองอันดับ 10 จุดหมายปลายทางตลาดเกิดใหม่ที่น่าลงทุนที่สุดในโลกจาก 25 อันดับ ส่วนอันดับที่ 1 คือ ประเทศจีน (รวมฮ่องกง) และผลสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นด้วยว่า ประเทศไทยครองอันดับ 5 ประเทศที่นักลงทุนเชื่อมั่นที่สุดในเอเชีย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







