แผนกระตุ้นศก.ต้อง‘เฉียบขาด-แม่นยำ’

แผนกระตุ้นศก.ต้อง‘เฉียบขาด-แม่นยำ’

ขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังสั่นสะเทือนจากความขัดแย้งทางการค้า และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยากจะคาดเดา เศรษฐกิจไทยก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบที่กำลังขยายวงกว้าง ภาวะชะลอตัวของการส่งออก ความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน และแรงกดดันจากการขึ้นภาษีนำเข้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ ล้วนส่งสัญญาณว่า ‘พายุลูกใหญ่’ กำลังมาเยือน ล่าสุดรัฐบาลไทยได้ระดมสมองเพื่อออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ท่ามกลางความคาดหวังของภาคธุรกิจและประชาชนว่ามาตรการเหล่านี้จะสามารถพยุงความเชื่อมั่นและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศได้แค่ไหน หากสิ่งที่ควรถูกพูดถึงอย่างจริงจัง คือ “ความแม่นยำ” และ “ความระมัดระวัง” ของนโยบายที่กำลังจะถูกผลักดัน

สงครามการค้าไม่ใช่เพียงการตั้งกำแพงภาษี หากแต่เป็นเกมเชิงกลยุทธ์ที่มีผลระยะยาวต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ประเทศไทยยังคงอยู่ในสถานะ “ผู้ถูกกระทบ” การรับมือจำเป็นต้องมีแผนยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้งกว่าการอัดฉีดเงินเพียงชั่วคราว แม้รัฐบาลจะพยายามเร่งเจรจากับสหรัฐ โดยยื่นข้อเสนอ (proposal) เพื่อขอผ่อนปรนมาตรการทางภาษี แต่ท่าทีของสหรัฐ โดยเฉพาะภายใต้แนวนโยบายแบบทรัมป์ ก็ยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ ให้พอคลายความกังวล

จุดสำคัญคือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยท่ามกลางคลื่นลมเช่นนี้ ต้องอาศัยมาตรการที่ไม่ใช่เพียง “การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า” แต่ต้องเป็นแผนฟื้นฟูเชิงโครงสร้างที่กล้าปรับ เปลี่ยน และเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของประเทศ ทั้งในด้านเทคโนโลยี แรงงาน และการลงทุนระยะยาว การเร่งรีบออกนโยบายโดยขาดความชัดเจน อาจทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะเสี่ยงมากยิ่งขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจึงควรเป็นไปอย่างมีสติ ไม่ใช่เพียงตอบสนองต่อแรงกดดันทางการเมืองหรือเสียงเรียกร้องระยะสั้น หากแต่ต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาวเป็นหลัก

บนทางแยกแห่งความไม่แน่นอนเช่นนี้ ประเทศไทยต้องเลือกเดินด้วยความรอบคอบ ทุกก้าวของนโยบาย คือ การวางรากฐานให้เศรษฐกิจไทยยืนหยัดได้ ไม่เพียงท่ามกลางพายุ แต่เพื่อให้สามารถฟื้นคืนและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ถึงตอนนี้ ประเทศไทยไม่ได้มีทางเลือกมากนัก นอกจากต้องวางหมากอย่างรอบคอบในการรับมือกับความไม่แน่นอนที่รายล้อม ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ท่าทีประเทศคู่ค้า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเป็นจุดทดสอบสำคัญว่า รัฐบาลไทยสามารถรักษาสมดุลระหว่างการเร่งฟื้นฟูระยะสั้น กับการสร้างภูมิคุ้มกันระยะยาวได้หรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว การบริหารประเทศในภาวะวิกฤติรัฐบาลต้อง “มองไกล” และ “คิดลึก” มากพอที่จะพาประเทศหลุดพ้นจากความเปราะบางนี้อย่างยั่งยืน