พิชัย เผยบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจประชุม 19 พ.ค. ถกมาตรการรับมือภาษีทรัมป์

“พิชัย” เผยบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจนัดประชุม 19 พ.ค.นี้ ถกมาตรการรับมือภาษีสหรัฐฯ พร้อมดันจีดีพีให้โตตามเป้า เผยถกแบงก์รัฐช่วยผู้ส่งออกได้รับผลกระทบ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะกรรการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะมีการประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 19 พ.ค.นี้ โดยกระทรวงการคลังจะมีการเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการบรรเทาผลกระทบจากกรณีการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐ ซึ่งมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศประมาณ 1-2 ปี โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจส่งออก ธุรกิจซัพพลายเชนที่เกี่ยวเนื่อง และผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่ทะลักเข้ามา
ทั้งนี้แม้จะมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนให้ GDP เติบโตเกิน 3% โดยจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมรับมือหลังการชะลอบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ออกไป 90 วัน สิ้นสุดลงวันที่ 9 ก.ค.2568 รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องดูแลควบคู่กันไปเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
นายพิชัย กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจว่า กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือผู้ส่งออก โดยเฉพาะผู้ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ รองลงมาคือ SMEs ที่ทำงานต่อเนื่องกับผู้ส่งออก รวมถึงกลุ่มพนักงานและลูกจ้างที่เกี่ยวข้องจะมีการพิจารณามาตรการช่วยเหลือในระยะต่อไป
สำหรับธนาคารออมสิน จะมีการเตรียมออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) วงเงิน 100,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 0.01% ให้กับสถาบันการเงินอื่นๆ นำไปปล่อยกู้ต่อดอกเบี้ยไม่เกิน 3.5% โดยวงเงินดังกล่าวกำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการที่จะได้รับความช่วยเหลืออย่างชัดเจน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกสินค้าไปยังตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ประกอบการในธุรกิจ Supply Chain ที่เกี่ยวข้องกับภาคการส่งออก ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ผลิตสินค้าที่มีการแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ และผู้ประกอบการ SME ในภาพรวม
นอกจากนี้ เตรียมการลดดอกเบี้ย 2-3% ให้แก่ผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบ โดยจะเปิดให้ลูกค้าเข้ามาติดต่อกับธนาคารโดยตรงภายใน 1-2 วันนี้
ขณะเดียวกันได้มอบโจทย์ให้ EXIM Bank ที่มีลูกค้าผู้ส่งออกกว่า 3,000 ราย มีการประเมินสถานการณ์และเตรียมมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง หากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ทำให้ธุรกิจเกิดการหยุดชั่วคราว จะมีการพิจารณาให้เงินทุนหมุนเวียนและลดดอกเบี้ยให้ 20% ของอัตราดอกเบี้ยจ่ายในแต่ละงวด และให้ธนาคารเปิดแผนกให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ และรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปสู่การพิจารณามาตรการที่เหมาะสมต่อไป
“ได้มอบหมายให้ธนาคารต่างๆ กลับไปพิจารณามาตรการที่เหมาะสมและจะมีการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมและสรุปมาตรการทั้งหมดเพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมาตรการบางอย่างสามารถดำเนินการได้ทันทีหากธนาคารมีความแข็งแกร่ง แต่หากต้องการเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลก็ให้รีบแจ้งเพื่อเตรียมเงินช่วยเหลือ นอกจากนี้ จะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับเปลี่ยนมาตรการตามความเหมาะสม” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวต่อว่า นอกจากมาตรการจากแบงก์รัฐแล้วยังได้หารือส่วนตัวกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อขอความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง ที่มีกำไรสูง ในการร่วมออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในลักษณะใกล้เคียงกัน ซึ่งคาดว่าจะมีการนัดประชุมอย่างเป็นทางการอีกครั้งในภายหลัง
“มาตรการด้านการเงินในครั้งนี้ เป็นการให้สถาบันการเงินของรัฐยอมหั่นกำไรของตัวเองมาใช้ในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบและช่วยสังคม ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่งนั้น มีขนาดใหญ่กว่าออมสิน เพราะฉะนั้นเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์ก็สามารถหั่นกำไรช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนได้เช่นกัน”







