‘เงินบาทแข็งค่า’ ซ้ำเติมส่งออกไทยภาษีทรัมป์ฉุดยอดครึ่งปีหลังหดตัวแรง

เอกชน ชี้ เลื่อนภาษีทรัมป์ 90 วัน ช่วยคำสั่งซื้อสินค้าต่อเนื่อง หวั่นพ้น ทำไตรมาส 3 คำสั่งหด ทำทั้งปีส่งออกไทยไม่โต แถมเงินบาทแข็งซ้ำเติมส่งออกไทย สรท.แนะรัฐเร่งเจรจาสหรัฐ พร้อมเจรจาเอฟทีเอ เปิดตลาดใหม่
การประกาศนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 โดยขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ได้ดุลการ และขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% และต่อมาได้เลื่อนการบังคับใช้ออกไป 90 วัน สำหรับประเทศที่ไม่ตอบโต้สหรัฐ
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา นายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวว่า การเลื่อนขึ้นภาษีทรัมป์ออกไป 90 วัน ทำให้ผู้นำเข้าสั่งซื้อสินค้าต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ซึ่งในไตรมาส 1 นำเข้าสินค้าไปสหรัฐมากกว่าปกติ เพราะมีความเสี่ยงจากการประกาศภาษีทรัมป์แต่เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 ที่ประกาศขึ้นภาษีรายประเทศทำให้มีการชะลอคำสั่งซื้อ
ทั้งนี้ หลังจากทรัมป์ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีออกไป90 วัน มีคำสั่งซื้อสินค้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่การเลื่อนครั้งนี้ต้องดูว่ายกเว้นสินค้าที่ลงเรือไปก่อนหน้านี้หรือไม่ แต่ไม่ได้นำเข้ามากกว่าปกติมากนักเนื่องจาก มีความจำกัดของพื้นที่จัดเก็บ และต้นทุนที่ต้องเก็บสินค้าเพิ่ม
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการส่งออกไตรมาส 2 น่าจะยังดีแม้ไม่เท่ากับไตรมาสแรกก็ตาม ส่วนไตรมาส 3 ไตรมาส 4 ยังมีความไม่แน่นอน โดยดูจาก 2 ปัจจัย ประกอบด้วย
กรณีที่ 1 ขึ้นภาษีทุกประเทศในอัตราเดียวกัน แต่จีนถูกขึ้นภาษีมากกว่าประเทศอื่นก็จะเป็นโอกาสให้สินค้าไทยส่งออกไปทดแทนสินค้าจีนมากขึ้นหลายๆสินค้า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารที่จีนส่งไปสหรัฐที่ทำตลาดได้เนื่องจากราคาถูกกว่า
กรณีที่ 2 มีการขึ้นภาษีในอัตราที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ตลาดโลกมีการชะลอตัว จากระดับภาษีที่สูงขึ้น เงินเฟ้อในสหรัฐขยับสูง
อย่างไรก็ตามสินค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่ส่งออกนำเข้าระหว่างกัน เมื่อดูสินค้าเป็นรายตัวเมื่อจีนถูกขึ้นภาษีในอัตราที่สูงก็เป็นโอกาสของไทยที่จะส่งสินค้าไปตลาดสหรัฐมากขึ้นจากภาษีที่ถูกกว่าถือเป็นผลดีของไทย
แต่สินค้าบางตัวก็จะเป็นโอกาสของประเทศอื่นเข่นกันที่ภาษีถูกกว่าไทย ขณะที่อีกด้าน เมื่อสินค้าจีนส่งออกไปสหรัฐไม่ได้ก็ต้องหาตลาดอื่นแทน สหรัฐก็เช่นกันเมื่อสินค้าส่งเข้าจีนไม่ได้ก็ต้องหาตลาดทดแทน
“ไตรมาส 1 ไตรมาส 2 ส่งออกไทยยังไปได้ แต่ไตรมาส 3 ต้องรอลุ้นว่าแต่ละประเทศจะเจรจาออกมาอย่างไร ถ้าออกมาในรูปแบบเดียวกันส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประเมินว่าในครึ่งปีหลังการส่งออกของไทยอาจไม่ขยายตัวหรืออาจจะลดลง ถ้าสหรัฐยังเดินหน้าขึ้นภาษีอยู่ ซึ่งผลกระทบต่อทั้งโลก สินค้าที่นำเข้าสหรัฐไม่ได้ก็ต้องไปหาตลาดอื่นแทนก็เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น” นายวิศิษฐ์ กล่าว
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งทุกวันนี้จะมีการประกาศของทรัมป์ออกมาอยู่เรื่อยๆ และผู้ส่งออกจำเป็นต้องปรับตัวโดยกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นมากขึ้น ไม่โฟกัสไปยังตลาดสหรัฐเพียงตลาดเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสินค้าใดมีสัดส่วนการส่งออกสูงถึง 20-30 % ต้องหาตลาดอื่นทดแทนที่เคยส่งออกหรือตลาดอื่นเพื่อส่งผ่านไปยังประเทศอื่น
สำหรับตลาดใหม่ค่อนข้างเป็นไปได้ยากเพราะไทยยังไม่ได้เปิดตลาดใหม่ หรือยังไม่ได้มีข้อตกลงทางการค้าระหว่างกัน อย่างไรก็ตามการจับมือกับประเทศต่างๆ เพื่อเปิดตลาดการค้ายังมีความจำเป็นที่ต้องทำเพื่อรอการเจรจาการค้าเสรี (เอฟทีเอ) รวมทั้งอาเซียนต้องค้ากันเองมากขึ้นและมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น
ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าก็กระทบต่อความสามารถในแข่งขันของผู้ส่งออก ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทในภาวะขณะนี้ที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงมีนโยบายของทรัมป์ก็ยิ่งทำให้อุปสรรคสำคัญที่ทำให้การส่งออกไทยยังประสบปัญหามากขึ้น
สำหรับการส่งทีมไทยแลนด์ไปเจรจากับสหรัฐในสัปดาห์หน้า มองว่า เป็นความคืบหน้าของรัฐบาล แต่สิ่งสำคัญคือ ข้อมูลที่เราจะนำไปเจรจากับสหรัฐ โดยในรอบแรกก็ยังไม่ไฟนอลหรือมีข้อยุติจบลงในการเจรจาเพียงแค่ครั้งเดียว เชื่อว่า สหรัฐก็ต้องพิจารณาข้อเสนอของรายประเทศที่เข้ามาเจรจากับสหรัฐเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
นายธนกร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สรท.มองปัจจัยเสี่ยงและความผันผวนเสมือนระเบิดเวลาที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ในประเด็นสำคัญ ได้แก่
1.Trade War Trump 2.0 สร้างความไม่นอนของเศรษฐกิจโลกและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ จากมาตรการภาษีศุลกากร ส่งผลให้ต้นทุนทางการค้าเพิ่มสูงขึ้น
2.ค่าเงินบาท ยังคงมีความผันผวนที่เป็นผลมาจากนโยบายการค้าของสหรัฐและปัจจัยราคาทองคำ
3.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่มีข้อยุติทั้ง รัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-กลุ่มฮามาส แม้มีข้อตกลงหยุดยิงแต่ยังคงมีการปะทะกันในหลายพื้นที่
4.ปัจจัยเฝ้าระวังขนส่งสินค้าทางทะเล จากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่จะส่งผลต่อความผันผวนและมีผลต่อการวางแผนการสต็อกและส่งออกสินค้า สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคทะเลแดงมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น รวมถึงค่าระวางเส้นทางไปเอเชียปรับเพิ่มขึ้นหลายเส้นทาง ซึ่งเป็นผลจากสงครามการค้าและความกังวลมาตรการสหรัฐต่อเรือขนส่งสินค้าที่ต่อในจีน (Chinese-Built vessel)
ทั้งนี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ดังนี้
1.เร่งเจรจาสหรัฐ เพื่อ ทั้งส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้า ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เร่งนำเข้าสินค้าที่ไทยต้องการจากสหรัฐฯ เพื่อลดการเกินดุลการค้า ใช้แนวทาง ASEAN+ ในการเจรจา เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับสหรัฐ
2.เร่งเจรจาและใช้ประโยชน์ FTA กับประเทศคู่ค้าสำคัญอื่น เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า และกระจายสินค้าไปในตลาดอื่นได้มากขึ้น ซึ่งภาครัฐ โดยเฉพาะทูตพาณิชย์ ต้องมีการทำงานอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน
3.เร่งปฏิรูปการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของไทย โดยสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบและทรัพยากรในไทยเป็นส่วนประกอบหลัก การมีส่วนร่วมของอุตสาหกรรมต้นน้ำและซัพพลายเออร์ภายในประเทศ
นอกจากนี้เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้า จากการหลบเลี่ยงมาตรการสหรัฐเข้ามาทุ่มตลาดไทย รวมถึงการทำ re-export ผ่าน Free Zone และเร่งปฏิรูประบบโลจิสติกส์และการอำนวยความสะดวกทางการค้า เพื่อลดต้นทุนการค้าระหว่างประเทศของไทยให้แข่งขันได้







