ม.หอการค้าไทย เผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค. ลดต่อเนื่อง

ม.หอการค้าไทย เผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค. ลดต่อเนื่อง

ม.หอการค้าไทย เผย ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค มี.ค.68 ลดลงเป็นเดือนที่ 2 กังวลนโยบายภาษีทรัมป์  คาดเดือน เม.ย.ยังลงต่อ รอดูผลการเจรจาไทย-สหรัฐ ก่อนประเมินความเสียหาย

นายธนวรรธน์  พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ  เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนมี.ค.68 อยู่ที่ 56.7 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทย และทั่วโลกปรับตัวลดลง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 50.5, ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 54.2 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 65.4 ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นฯ ทุกรายการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เช่นกัน

ทั้งนี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังมีสัญญาณลดลงต่อเนื่องได้ การเห็นภาพเศรษฐกิจชะลอตัวลง ยังมีความเป็นไปได้สูง และการฟื้นตัวยังเป็นไปอย่างช้า ๆ ดังนั้นการที่รัฐบาลจะไปเจรจาต่อรองเรื่องภาษีกับสหรัฐ จึงมีความจำเป็นอย่างมาก แนวคิดในการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ก็มีความจำเป็นเช่นกัน การใช้เงินงบประมาณของรัฐบาล ควรทำให้เกิดการจ้างงานที่มากขึ้น มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานผ่านการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ ขณะเดียวกัน นโยบายการเงินอาจเข้ามาช่วยเสริมได้ ในแนวทางอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งจะช่วยเสริมภาวะเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดตัวลงมาก

ทั้งนี้ ในการสำรวจความเห็นของผู้บริโภคในเดือนมี.ค.นี้ ยังไม่รวมกรณีการประกาศขึ้นภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากไทย 36% (ประกาศ 4 เม.ย.68) ซึ่งล่าสุด (9 เม.ย.68) เหตุการณ์ยังพลิกกลับมาอีกว่าสหรัฐ มีระยะเวลาผ่อนคลายให้ 90 วัน กับทุกประเทศที่มาตรการภาษีสหรัฐ ยังไม่มีผลบังคับใช้

อย่างไรก็ตามคาดว่า ในเดือนเม.ย.จะเริ่มเห็นผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ให้อยู่ในขาลงต่อเนื่อง แต่ยังไม่อยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ เพราะค่าเฉลี่ยรายไตรมาส  หากเทียบไตรมาสแรกของปีนี้ ค่าดัชนียังสูงกว่าในไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้ว ดังนั้น เชื่อว่า สถานการณ์การจับจ่ายของผู้บริโภค ในเม.ย. โดยเฉพาะในช่วงสงกรานต์ ยังคึกคักตามที่ประเมินไว้ แต่จะเริ่มเห็นสัญญาณซึมตัวลง ในเดือนพ.ค. และมิ.ย. 

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในเดือนมี.ค. กลับมาปรับตัวลดลงเป็นเดือนแรกโดยอยู่ที่ระดับ 48.9 ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับค่ากลางที่ 50 ต่อเนื่องโดยเป็นการปรับตัวลดลงในทุกภูมิภาค  โดยมีปัจจัยลบมาจาก ภาคธุรกิจ กังวลต่อความไม่แน่นอน ของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายของประเทศเศรษฐกิจ  สงครามการค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวในทุกภูมิภาคของโลก

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ขณะนี้อาจยังเร็วเกินไป ที่จะประเมินผลกระทบและความเสียหายของเศรษฐกิจไทย จากมาตรการภาษีของสหรัฐ เพราะต้องประเมินสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ว่าจะยืดเยื้อบานปลาย หรือมีการตอบโต้ที่รุนแรงหรือไม่ หรือทั้ง 2 ประเทศจะปรับท่าทีแล้วหันมาเจรจากัน ซึ่งต้องติดตามในช่วง 1-3 เดือนจากนี้ อีกทั้งประเทศคู่ค้าของสหรัฐ 60 ประเทศ จะมีการเจรจาต่อรองกับสหรัฐได้มากน้อยเพียงใด ต้องดูว่าสหรัฐจะลดภาษีให้ทั้ง 60 ประเทศเท่ากันหรือไม่ หรือขึ้นอยู่กับการต่อรองของประเทศต่าง ๆ เอง เพราะอัตราภาษีที่ทั้ง 60 ประเทศถูกสหรัฐเรียกเก็บนี้ มีผลต่อ GDP ของโลกค่อนข้างสูงมาก ในสัดส่วนรวมกันถึง 80%

 

โดยผลกระทบช่วง 90 วันที่ขยายไปนั้น ถ้ายื่นภาษีได้ที่ 10% ความเสียหายจะอยู่ที่ประมาณ 1-1.5 แสนล้านบาท ผลให้เศรษฐกิจไทยโตน้อยลง 0.7-0.9% ซึ่งตอนนี้ เรายังไม่ประเมิน เพราะเชื่อว่าในช่วง 1-3 เดือนนี้ เพราะอยู่ในช่วงระยะเวลาผ่อนผัน ยังไม่มีสถานการณ์ที่เป็นที่สิ้นสุดว่าจะมีเหตุการณ์อะไร และความผันผวนของข้อมูลข่าวสารยังผันผวนต่อเนื่อง ขึ้นกับว่าสหรัฐ จะทำอะไร

ดังนั้น หอการค้าไทย จึงยังไม่ประเมินตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จากเดิมที่คาดไว้ 3%  เช่นเดียวกับการส่งออก มีโอกาสต่ำกว่า 2% จากที่ประเมินไว้ที่ 3%  เพราะสถานการณ์ ยังผันผวน  จึงต้องติดตามสถานการณ์หลังจากนี้ อีก 3 เดือน ที่ทรัมป์เลื่อนการขึ้นภาษีออกไป น่าจะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจโลก เพราะหลายประเทศมีโอกาสได้เจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับสหรัฐ ทำให้ภาพที่เศรษฐกิจโลกจะโตน้อยลง เริ่มมีโอกาสลดลง โดยเฉพาะผลการเจรจาต่อรองของไทย ซึ่งใน 5 แนวทางถือว่าเป็นไปตามที่ภาคเอกชนสนับสนุน  

รวมถึงสถานการณ์ของแต่ละประเทศที่โดนขึ้นกำแพงภาษี  เพราะยังมีแรงสนับสนุนของสถานการณ์ในสหรัฐเอง ทั้งจากคนในประเทศที่ออกมาประท้วง หรือ แม้แต่ทีมบริหารประเทศ ก็เริ่มห่วงใยต่อเศรษฐกิจที่จะกระทบต่อการบริหารงานของรัฐบาล

ขณะเดียวกัน รัฐบาล ยังจำเป็นต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และใช้นโยบายทางการเงิน เมื่อจำเป็น ก็สามารถทำได้  พร้อมทั้งเร่งการเจรจาการค้าตามกรอบต่างๆ อาทิ หาความร่วมมือภายใต้กรอบอาเซียน กับสหรัฐ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์