'พิชัย' ปัดตอบนำเข้า 'อีเทน' สหรัฐ เอกชนหนุนเจรจาแลกเปลี่ยนการค้า

จากกรณีที่ นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยกับ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2568 ว่า ประเทศไทยเตรียมเพิ่มการนำเข้า "อีเทน" และ "สินค้าเกษตร" จากสหรัฐเพิ่มเติม เพื่อลดแรงกดดันเรื่องการขาดดุลการค้าของสหรัฐ และลดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ในขณะที่สหรัฐกำลังขู่ทำสงครามการค้ากับหลายประเทศ 

นายพงศ์ศรัณย์ กล่าวว่า โรงงานอาหารสัตว์ของไทยจะนำเข้ากากถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่นๆ มากขึ้นเพื่อใช้เป็นส่วนผสมอาหารสัตว์สำหรับวัว สัตว์ปีก และหมู แต่ไม่ได้ระบุปริมาณการนำเข้าเพิ่มเติม

ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ขอให้บริษัทปิโตรเคมีในไทย เพิ่มปริมาณการซื้อเอทานอลจากสหรัฐอย่างน้อย 1 ล้านตัน โดยปัจจุบัน มูลค่าตลาดของเอทานอล 1 ล้านตันอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ (ราว 6,780 ล้านบาท)

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ขณะเดินทางไปสหรัฐ เพื่อเจรจาหารือกับฝ่ายสหรัฐ และลดความตึงเครียดทางการค้าว่า ในเรื่องของการให้เพิ่มสัดส่วนการนำเข้าอีเทนตนเองไม่ทราบ และไม่มีรายละเอียดในเรื่องนี้ 

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สงครามการค้ารอบใหม่เริ่มแล้วที่เม็กซิโก แคนาดา และจีน ท่ามกลางการตอบโต้ โดยสหรัฐประกาศจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าต่อกลุ่มประเทศเป้าหมาย

โดยเม็กซิโก และแคนาดาอัตรา 25% ยกเว้นหมวดพลังงานเพราะสหรัฐใช้น้ำมันวันละ 13-14 ล้านบาร์เรล นำเข้าทั้งแคนาดาและเม็กซิโก จึงมีผลกระทบต่อต้นทุน และจีนในอัตรา 10%     

ทั้งนี้ จะส่งผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2568 และจะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้นในปี 2569 นอกจากนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ผลักดันนโยบายเร่งด่วนผ่านการใช้คำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) รวมถึงนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ ครอบคลุมทั้งประเด็นการค้าที่ไม่เป็นธรรม การจัดการคนเข้าเมือง และการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส เป็นต้น

สำหรับความขัดแย้งทางการค้าดังกล่าวได้กดดันสินค้าจากต่างชาติเข้ามาแย่งตลาด และกระทบต่อภาคการผลิตของไทย โดยเฉพาะสินค้าจีนที่ล้นตลาดจากปัญหาสงครามการค้า และการแยกขั้ว (De-coupling) ทะลักเข้ามาในประเทศ ส่งผลกระทบต่อการผลิต และการจ้างงาน 

ทั้งนี้ จากการศึกษาผลกระทบดังกล่าวตามข้อเสนอในสมุดปกขาวของ กกร. โดยกระทรวงพาณิชย์ พบว่า กลุ่มสินค้าสำคัญที่ได้รับผลกระทบมาก เช่น เหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แก้ว และกระจก เครื่องสำอาง ฯลฯ รวม 23 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งหากไม่ทำอะไรเลยปีนี้จะกระทบเพิ่มเป็น 30 กลุ่มอุตสาหกรรม

"ยอมรับว่ามีความกังวลทางอ้อม เพราะจีนคือ ผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก ได้ดุลการค้าสหรัฐตลอด ด้วยปี 2566 สหรัฐมีมาตรการกีดกันเข้มข้นจึงลดสัดส่วนการส่งออกไปถึง 20% จากเดิมมูลค่ากว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การไหลบ่าของสินค้าจีนมาในอาเซียนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1  ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องการสกัดสินค้าไม่ได้มาตรการเต็มที่ แต่ยอมรับว่ามีหลายงานที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องบูรณาการร่วมกัน" 

ทั้งนี้ การที่กระทรวงพาณิชย์เดินทาไปหารือกับสหรัฐ ถือเป็นนโยบายเชิงลึกถือว่าแอคทีฟเพราะทราบว่าทรัมป์มีความชัดเจนเรื่องของการแลกเปลี่ยน "หมูไปไก่มา" ไม่ชอบให้ใครได้ดุลการค้า การที่เราต้องเตรียมแพ็กเกจน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ซึ่งไทยได้ดุลการค้าอยู่ที่อันดับที่ 11 เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2562 จากระดับ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็นปี 2567 กว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ จึงอยู่ในข่ายที่โดนจับตา" 

ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ รัฐบาลไทยจะต้องเร่งคุยเพื่อต่อรอง ซึ่งเอกชนได้เสนอรัฐบาล 2 เรื่องคือ 1. ตั้งวอร์รูมที่มีทั้งรัฐ และเอกชนเป็น "ทีมไทยแลนด์" ซึ่ง กกร.ได้ไปส่งหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน เพื่อตั้งรับผลกระทบเพราะเอกชนมีข้อมูล

2.เสนอจ้างล็อบบี้ยิสต์เก่ง เพราะเป็นกลไกที่สำคัญ ทุกประเทศจ้างหมดอย่าช้า ไม่งั้นจะโดนประเทศอื่นแย่งคนเก่งไป ซึ่งได้ล็อบบี้ยิสต์เทียร์ 2 หรือเทียร์ 3 เราจึงต้องรับมือ ซึ่งทรัมป์เคลื่อนไหวทุกวัน และทำทันที

สำหรับประเด็นที่ภาครัฐให้เพิ่มการนำเข้าเอทานอลจากสหรัฐราว 1 ล้านตัน คิดเป็นเงินไทยราว 7,000 ล้านบาท ถือว่าไม่มาก ซึ่งยังมีกากถั่วเหลืองและพืชเกษตรอื่นๆ อีก ซึ่งเท่าที่ดูสหรัฐอยากขายอาวุธ และเครื่องบินที่เป็นสินค้าของสหรัฐที่ต้องคุยแลกเปลี่ยนด้วย  

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์