ปี67ไทยขาดดุล3แสนล.ปี68เร่งส่งออกฝ่ากำแพงการค้าโลกทำต้นทุนธุรกิจบวม

ปี67ไทยขาดดุล3แสนล.ปี68เร่งส่งออกฝ่ากำแพงการค้าโลกทำต้นทุนธุรกิจบวม

ปิดบัญชีปี 2567 ด้วยมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยการส่งออกในรูปของสกุลเงินดอลลาร์ พุ่งทะยานสู่ระดับ 3 แสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก ขณะที่การส่งออกในรูปของเงินบาทก็มีมูลค่าสูงกว่า 10 ล้านล้านบาท เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน

     โดยภาพรวมของทั้งปี 2567 การส่งออก มีมูลค่า 300,529.5 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 306,809.8 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 6.3% ดุลการค้าของปี 2567 ขาดดุล 6,280.4 ล้านดอลลาร์

ขณะที่การค้าในรูปเงินบาท ภาพรวมของทั้งปี 2567 การส่งออก มีมูลค่า 10,548,759 ล้านบาท ขยายตัว 7.3% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 10,896,480 ล้านบาท หดตัว 3.8%  ดุลการค้าของปี 2567 ขาดดุล 347,721 ล้านบาท

รายงาน สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและแนวโน้มปี 2568 (WORLD ECONOMIC SITUATION AND PROSPECTS 2025) จัดทำโดยการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังค์ถัด เล่าถึง แนวโน้มการค้าและการลงทุนระดับโลกที่ฟื้นตัวหลังซบเซามาตั้งแต่ปี2566

“คาดการณ์การค้าโลกในปี 2567 จะฟื้นตัวที่ 3.4% เป็นการฟื้นตัวอย่างเป็นได้ชัดถึง 0.9% เมื่อเทียบกับปี 2566  ส่วนปี 2568 คาดว่าการค้าโลกจะชะลอตัวลงโดยเติบโตที่ 3.2% ” 

      ผลที่เงินเฟ้อผ่อนคลายลงส่งผลดีต่อการส่งออกซึ่งเห็นได้ชัดในตลาดสหรัฐและเอเชีย โดยเฉพาะจีน แต่การคาดการณ์นี้ขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ แนวโน้มของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการค้าบริการที่อาจอ่อนแอลง 

 "ปริมาณการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกฟื้นตัวขึ้นในปี 2527 การเติบโตบางส่วนอาจมาจากคำสั่งซื้อล่วงหน้าจากจีนเพื่อรับมือกับข้อจำกัดทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นจากผลการเลือกตั้งสหรัฐ และการเติบโตในปี 2567 ยังได้รับประโยชน์จากผลกระทบจากฐานที่ต่ำ เนื่องจากการค้าในปี 2566 อยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ผลกระทบต่อเนื่องของราคาพลังงานที่สูง และความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง"

ตามข้อมูลขององค์การการค้าโลก (WTO)ระบุว่า เมื่อปี 2566 การค้ากลุ่มเชื้อเพลิงพลังงานและผลิตภัณฑ์จากการทำเหมืองลดลง 18% เมื่อเทียบเป็นรายปี ภาวะตกต่ำนี้เช่นนี้ มาจากผลของความอ่อนแอของเศรษฐกิจยุโรปทั้งแง่การส่งออกและนำเข้าสินค้าสำคัญอย่างน้ำมันเชื้อเพลิง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตรงกันข้าม สหรัฐมีความเข้มแข็งด้านการส่งออกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมวดหมู่ เครื่องจักรหนักและเครื่องบิน

จากสถานการณ์การค้าทั่วโลก ชี้ไปว่าประเทศกำลังพัฒนามีทิศทางการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและการค้า ทั้งในรูปการนำเข้าและส่งออกที่ดีกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจีนและหลายประเทศในเอเชียมีอัตราการส่งออกที่ดีในช่วงปี 2567 ซึ่งสินค้าที่เป็นพระเอกของการส่งออกคืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของการค้าเซมิคอนดักเตอร์ที่เชื่อมโยงกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI นั่นเอง ซึ่งตามรายงานของสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ระบุ ว่า ในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2567 รายได้จากการขายเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกเติบโตขึ้นเกือบ 20%  เมื่อเทียบเป็นรายปี

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น เพราะการค้าสินค้าทั่วโลกต้องมาประสบกับอุปสรรคสำคัญในปี 2567 นั่นคือการโจมตีเรือโดยกลุ่มกบฏฮูตีในทะเลแดงทำให้ปริมาณการขนส่งผ่านคลองสุเอซลดลงอย่างรวดเร็วและเรือต้องเปลี่ยนเส้นทาง โดยผ่านแหลมกู๊ดโฮป ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งสูงขึ้น 

เส้นทางไปและกลับจากจีน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค. ปีที่ผ่านมา แม้ต่อมาราคาค่าขนส่งจะลดลงหลังจากที่ความรุนแรงในทะเลแดงลดลงและอุปทานการขนส่งเพิ่มขึ้น

     สำหรับการมองไปข้างหน้าในปี 2568 พบว่า  แนวโน้มการค้าระหว่างประเทศยังคงไม่แน่นอนอย่างมากจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อจำกัดทางการค้าใหม่ๆ  รวมถึงความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ แคนาดา และสหภาพยุโรป 

เมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา จีน สหรัฐ แคนาดา หรือ ยุโรปได้นำมาตรการภาษีศุลกากรใหม่ที่มีอัตราสูงมาใช้กับสินค้าอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ไฟฟ้าจากจีน , การนำมาตรการเยียวยาผลกระทบทางการค้า อย่างมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด หรือ เอดี ที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในกลุ่มประเทศ จี 20  และจำนวนมาตรการทางการค้าที่ตอบโต้กันไปมาพบว่าเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า จึงไม่น่าแปลกใจที่จะพบว่าต้นทุนทางธุรกิจจากปัญหาการแยกตัวทางการค้ากำลังเพิ่มสูงขึ้น  ซึ่งการเพิ่มขึ้นมาในรูปการรับมือกับมาตรการที่จำกัดหรือขัดขวางการค้าโลกนั่นเอง 

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์  กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกในปี 2568กระทรวงพาณิชย์คาดว่าการส่งออกทั้งปี 2568 จะขยายตัวได้ที่ 2 – 3% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงในระดับปัจจุบัน แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ 

การย้ายฐานการผลิตมายังกลุ่มประเทศอาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้น และการเร่งส่งเสริมการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยเชื่อมโยงเข้ากับสินค้าส่งออกเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้เป็นที่จดจำในระดับโลก 

ขณะที่มีปัจจัยท้าทายจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ ซึ่งกระทบกับบรรยากาศการค้าโลก ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อยาวนานและความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์และวางแผนเตรียมความพร้อมร่วมกับภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การค้าไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

ปี67ไทยขาดดุล3แสนล.ปี68เร่งส่งออกฝ่ากำแพงการค้าโลกทำต้นทุนธุรกิจบวม