‘พิชัย’ มองเศรษฐกิจไทยปี 68 มีโอกาสโตแตะ 3.5%

‘พิชัย’ มองเศรษฐกิจไทยปี 68 มีโอกาสโตแตะ 3.5%

“พิชัย” เชื่อเศรษฐกิจไทยปี 68 โตแตะ 3.5% บริโภคภาคเอกชนโต ส่งออกขยายตัวดี เตรียมรับนักท่องเที่ยวปีนี้แตะ 39 ล้านคน ชี้ต่างชาติทยอยลงทุน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ใน 2 ปีนี้ ลุยแก้หนี้เฟสถัดไปกลุ่ม NPL เกิน 1 ปี ชงมาตรการการเงินลดดอกเบี้ย คุมอัตราแลกเปลี่ยนแข่งขันได้

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวตอนหนึ่งในงาน The Better Economic Forum 2025 เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2568 ว่า เชื่อว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ถึง 3.0-3.5% ด้วยความเชื่อมั่นที่กลับมา ทั้งการบริโภคของภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ดี จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการเติมเงิน 10,000 บาท จากภาครัฐ รวมทั้งการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี 

นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับไปถึงจุดสูงสุดที่ 39 ล้านคน และการลงทุนภาคเอกชนที่มีการยื่นขอส่งเสริมลงทุนที่สำนักงานคณะกรรมารส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แล้วกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าจะมีการลงทุนจริงภายใน 2 ปีข้างหน้า

ขณะที่การลงทุนภาครัฐส่วนหนึ่งจะเป็นการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ รถไฟฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง ซึ่งเหล่านี้จะเป็นการสนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 

นายพิชัย กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยกดดันภายในประเทศที่ต้องเฝ้าระวัง คือปัญหาหนี้ของ 3 เสาหลัก ทั้งภาครัฐ ครัวเรือน และเอกชน วันนี้หนี้ครัวเรือนเคยขยับเพิ่มขึ้นไปเกือบแตะ 91% ต่อ GDP อย่างไรก็ตามด้วยมาตรการภาครัฐที่ผ่านมา อาทิ การปรับโครงสร้างระยะเวลาชำระหนี้บ้าน ให้ขยายเวลาผ่อนชำระได้ถึง 85 ปี โครงการคุณสู้ เราช่วย ให้กลุ่มที่เป็นหนี้เสีย (NPL) ไม่เกิน 1 ปี เข้าร่วมการพักดอกเบี้ย 3 ปี ลดภาระการผ่อนชำระ รวมทั้งการเคลียร์ประวัติและยกหนี้ให้กับมูลหนี้ที่ต่ำกว่า 5,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ส่วนที่เป็นหนี้เสียในปีนี้ลดลงมาได้ 

ส่วนกลุ่มที่เป็น NPL เกิน 1 ปี กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยอาจมีการช่วยลดต้นเงินด้วย อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาหนี้ในวันนี้ต่างจากวิกฤติการเงินต้มยำกุ้ง 28 ปีก่อน ที่มีแค่ไม่กี่พันราย แต่วันนี้มีจำนวนหนี้เสียกว่า 10 ล้านบัญชี ไม่สามารถเจรจาเป็นรายบุคคลได้ แต่จะต้องมีการจัดเป็นกลุ่มเพื่อออกแบบการแก้ปัญหาหนี้

นายพิชัย กล่าวว่า ต้นเหตุของหนี้คือวิธีการใช้เงิน หรือการนำไปลงทุนอย่างผิดประเภท ซึ่งถ้าทำธุรกิจให้แข่งขันได้ ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ เรื่องเงินจะไม่ใช่ปัญหา

ขณะเดียวกัน นโยบายการเงินจะต้องมีส่วนสำคัญที่เข้ามาช่วยสนับสนุน โดยการดำเนินนโยบายให้เงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าหมาย จากปีที่ผ่านมาเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.4-0.5% เท่านั้น อย่างไรก็ตามก็อยู่ที่การตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

"เราหวังว่าจะเห็นอัตราดอกเบี้ยถูก หนี้ทั้งระบบของไทยอยู่ที่ 10 ล้านล้านบาท หากลดดอกเบี้ยลดลง 1% ก็ช่วยให้ลดภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายไป 1 แสนล้านบาท และเป็นเงินที่หมุนเวียนกลับเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ"

นอกจากนี้ ยังต้องดำเนินมาตรการการเงินที่คำนึงถึงความมีเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและไม่เสียเปรียบ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านและประเทศคู่แข่ง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกอยู่มาก

"เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน ที่วันนี้เรามีความเห็นใกล้เคียงกันมากขึ้นเพื่อจะได้ผลักดันเศรษฐกิจไปอย่างที่ต้องการ"