กบข. เล็งสร้างที่อยู่อาศัยหลังเกษียณ เพิ่มทางเลือกผลตอบแทน

กบข. เล็งสร้างที่อยู่อาศัยหลังเกษียณ เพิ่มทางเลือกผลตอบแทน

กบข.เล็งหาผู้ร่วมทุนสร้างที่อยู่อาศัยหลังเกษียณ ตอบโจทย์สังคมสูงวัย ชี้ลงทุนปี 67 เผชิญความเสี่ยง เลือกตั้งสหรัฐ สงคราม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรง ยันปีนี้ผลตอบแทนสูงกว่าปีที่ผ่านมา หลังอุดความเสี่ยงเพิ่มลงทุนสินทรัพย์โภคภัณฑ์

นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราขการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. อยู่ระหว่างการศึกษาการสร้างที่อยู่อาศัยหลังเกษียณ (Retirement Complex) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการรับผลตอบแทนรูปแบบอื่นให้กับสมาชิก โดยจะหาผู้ร่วมลงทุนที่สนใจพัฒนาอาคารอยู่อาศัยสำหรับวัยเกษียณที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นของกลุ่มประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น 

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาทางเลือกผลตอบแทนด้านอื่นๆ อาทิ การรับเงินปันผลระหว่างทาง ทางเลือกในการออมเพิ่ม รับสิทธ์ในการรับบริการ เช่น การรักษาพยาบาลส่วนเพิ่ม โดยจะมีการศึกษาความเป็นไปได้และอาจต้องมีการปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้ 

ขณะเดียวกัน กบข. จะมีการทบทวนความเพียงพอของเงิน ณ วันเกษียณ โดยเพิ่มตัวแปรหนี้สิน การมีอายุยืนยาวของคนไทย และระดับความเพียงพอของสมาชิกแต่ละกลุ่มอาชีพเข้ามาศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ระดับความเพียงพอมีค่าเป็นปัจจุบันมากที่สุด และนำผลศึกษามาปรับปรุงแผนการจัดสรรการลงทุนของ กบข.


 

นายทรงพล กล่าวต่อว่า กบข. มุ่งสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในระยะยาว มากกว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 10 ปี บวก 2% ต่อปี โดยในปี 2567 ตั้งเป้าผลตอบแทนสูงกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 1.46% โดยผลตอบแทนในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.) อยู่ที่ราว 3% และคาดว่าจะรักษาทิศทางได้ต่อเนื่อง เพราะกองทุนฯ มีการปรับพอร์ตบริหารความเสี่ยงรองรับความไม่แน่นอนด้านต่างๆ ไว้  เช่น มีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ทองคำ น้ำมัน

ขณะเดียวกัน ก็มีการลงทุนในตลาดต่างประเทศสัดส่วนที่ 60% และตลาดในประเทศ 40% หลังตลาดต่างประเทศมีผลตอบแทนที่ดีกว่า

"ขณะนี้มองว่าสัดส่วนการลงทุนที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่กำหนดให้ลงทุนต่างประเทศไม่เกิน 60% และในประเทศ 40% เป็นสัดส่วนที่เหมาะสมแล้ว ไม่จำเป็นต้องแก้ไขเพิ่ม ส่วนแผนการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล กบข.ยังไม่มีความสนใจในตอนนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เรายังไม่มีความเข้าใจพอ อีกทั้งปัจจุบัน กองทุนฯ ก็สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายเพียงพออยู่แล้ว ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ สินทรัพย์อื่นๆ" นายทรงพล กล่าว 

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตาม 3 ปัจจัยเสี่ยงอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้นและบริหารความเสี่ยงได้ทันการณ์ ประกอบด้วย 1.ผลการเลือกตั้งและนโยบายในหลายประเทศ โดยเฉพาะประธานาธิบดีสหรัฐฯ และแนวนโยบายการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน 2.ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อิสราเอล-อิหร่าน และสงคราม และ 3.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง 

ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศที่ต้องจับตา ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยที่คงอยู่ในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา จะลดทอนความสามารถในการใช้จ่ายภาคครัวเรือนลดลง เงินเฟ้อปรับตัวลดลงแบบชะลอตัวและยังคงสูงกว่าเป้าหมายระยะยาวของธนาคารกลาง ส่วนเศรษฐกิจไทย ยังต้องติดตามการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งนี้มีความเชื่อมั่นในการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว และการกดดันด้านเงินเฟ้อลดลง