‘สมาคมเศรษฐศาสตร์’ ออกแถลงการณ์ หาทางออกปมขัดแย้ง 'รัฐบาล-ธปท.'

‘สมาคมเศรษฐศาสตร์’ ออกแถลงการณ์ หาทางออกปมขัดแย้ง 'รัฐบาล-ธปท.'

“นิพนธ์ พัวพงศกร” ส่งหนังสือถึงนักเศรษฐาสตร์ทั่วประเทศ ออกแถลงการณ์ปมความขัดแย้งระหว่าง ธปท. กับ ฝ่ายการเมือง เรียกร้องรัฐบาล-ธปท ร่วมมือรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ พร้อมเปิดเวที ระดมความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ทุกรุ่น 28 มิ.ย.นี้ จัดทำข้อเสนอทางออกให้ประเทศ

รศ. ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยและนักวิชาการเกียรติคุณสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และ นายวิศาล บุปผเวส เลขาธิการสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย  ได้ส่งหนังสือเชิญร่วมลงนาม และแถลงการณ์เรื่องความขัดแย้งระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับ ฝ่ายการเมือง เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567

ทั้งนี้ ได้จัดส่งไปยังนักเศรษฐศาสตร์ของประเทศ เพื่อให้พิจารณาร่วมลงนามเพื่อออกแถลงการณ์ในกรณีความขัดแย้งระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายการเมือง

รศ. ดร.นิพนธ์ ระบุในหนังสือเชิญร่วมลงนาม ว่า ตามที่มีความขัดแย้งระหว่าง ธปท. และฝ่ายการเมืองเรื่องความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ผมและเพื่อนนักเศรษฐศาสตร์บางคนมีความเป็นห่วงกังวลมาก และต้องการระดมสมองหาทางออกให้สังคม จึงตกลงร่วมกันดำเนินการ 2 เรื่อง คือ

เรื่องที่ 1 ออกแถลงการณ์ขอให้ “ผู้รับผิดชอบนโยบายการเงินและนโยบายการคลังร่วมมือกันในการรักษาเสถียรภาพในด้านที่ตัวเองรับผิดชอบ และทำการประสานเชิงนโยบายอย่างเหมาะสม ผ่านการพูดคุยถกเถียงที่ตั้งอยู่บนฐานวิชาการ และมีข้อมูลสนับสนุน พร้อมกับการรักษาระดับความอิสระของธนาคารกลางอย่างที่ควรเป็น” ถ้าท่านเห็นด้วยกับแถลงการณ์นี้ กรุณาลงนามร่วมกัน

เรื่องที่ 2 เพื่อนนักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นกรรมการสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยและผมในฐานะนายกสมาคมฯ ตกลงจะจัดการเสวนาหาทางออกด้านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะกลาง/ระยะยาว เพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง และยกระดับความเป็นอยู่ของคนไทย

โดยการระดมความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ทุกรุ่น ในเร็วๆนี้ เบื้องต้นกำหนดจัดการเสวนาในวันที่ 28 มิถุนายน 2567 เวลา 13.00-17.00 น. ที่ศูนย์เรียนรู้ ธปท. สมาคมฯจะ confirm วันเวลาที่แน่นอนภายในสัปดาห์นี้ และจะรีบประกาศให้ทราบเพื่อให้นักเศรษฐศาสตร์ทุกรุ่นมีโอกาสร่วมแสดงความเห็นเพื่อหาทางออกให้ประเทศ

สำหรับแถลงการณ์ เรื่องความขัดแย้งระหว่าง ธปท. กับ ฝ่ายการเมือง มีใจความดังนี้

ในห้วงเวลาที่ผ่านมา มีการตั้งคำถามถึงความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะจากฝ่ายการเมือง ว่าเป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศหรือไม่ จนนำไปสู่วิวาทะระหว่างฝ่ายที่ต้องการปกป้องความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย กับฝ่ายที่สนับสนุนความเห็นของภาคการเมือง

เนื่องจากวิวาทะเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งต่อการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นเสาหลักหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคควบคู่กับนโยบายการคลังในทุกประเทศทั่วโลก

ในขณะเดียวกันสังคมยังมีความเข้าใจค่อนข้างน้อยในเรื่องความจำเป็นที่ธนาคารกลางต้องมีความเป็นอิสระเพื่อให้สามารถดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน คณะผู้แถลงการณ์จึงขอแสดงความเห็น ดังนี้

ความเป็นอิสระของธนาคารกลางมีความจำเป็นด้วยเหตุผลอย่างน้อย 2 เหตุผล

ประการแรก ธนาคารกลางควรมีความเป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมืองในระดับหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้การดำเนินนโยบายการเงินเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการทางการเมืองระยะสั้น ที่อาจส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในระยะยาวได้

ไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพด้านราคา เสถียรภาพของระบบการเงิน และเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน หากอำนาจในการกำหนดปริมาณเงิน หรืออัตราดอกเบี้ยอยู่ในมือของรัฐบาลผู้ใช้เงิน ก็จะเกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะรัฐบาลมีแรงจูงใจที่จะให้ต้นทุนการใช้เงินหรืออัตราดอกเบี้ยต่ำลง

ประการที่สอง การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (inflation targeting) จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อสาธารณชน ตลาดการเงิน ตลาดทุน ตลาดเงินตราระหว่างประเทศ มีความเชื่อใจธนาคารกลางว่าจะแน่วแน่ในการรักษาเสถียรภาพสามประการที่กล่าวถึงก่อนหน้า จนทำให้การคาดการณ์เงินเฟ้อ (inflation expectation) อยู่ในกรอบเป้าหมายจริง

ซึ่งจะส่งผลให้พฤติกรรมการใช้จ่าย การลงทุน ปริมาณและการหมุนเวียนของเงิน การสร้างสินทรัพย์ทางการเงิน เป็นไปในทิศทางที่เอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพจริง ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว หากความเชื่อมั่นดังกล่าวถูกทำลายไป หน่วยเศรษฐกิจก็จะมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไป จนอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ฟองสบู่ อันจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในที่สุด ดังตัวอย่างประเทศตุรกีในปัจจุบัน

ความสำคัญของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้รับการรับรองจากงานวิชาการจำนวนมากรวมทั้งประสบการณ์ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกตลอดระยะเวลาหลายสิบปีหรือมากกว่านั้น ที่แสดงให้เห็นว่าการมีเสถียรภาพของราคา ของระบบการเงิน และของระบบสถาบันการเงินส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ผ่านหลากหลายช่องทาง เช่น

การที่ราคามีเสถียรภาพทำให้หน่วยเศรษฐกิจ (ประชาชน ธุรกิจ ภาคการเงิน และอื่น ๆ) สามารถวางแผนการจับจ่าย วางแผนธุรกิจ และแผนการเงิน ได้อย่างเหมาะสม ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของราคา ทำให้การใช้จ่าย การลงทุน การออม เป็นไปตามแผนระยะยาวได้ดีกว่า ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัว และที่สำคัญคือการป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจ เช่นฟองสบู่และการหดตัวรุนแรงที่กล่าวถึงข้างต้น

ความสำคัญของความเป็นอิสระของธนาคารกลางอันนำไปสู่ความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นำไปสู่ ‘หลักปฏิบัติ’ ที่ได้รับการยอมรับกันทั่วโลกหลายประการ เช่น ฝายการเมืองไม่ควรแสดงท่าทีกดดันหรือข่มขู่ธนาคารกลางในที่สาธารณะอย่างโจ่งแจ้ง แต่สามารถแสดงความคิดเห็นที่ต่างออกไปอย่างสุภาพ มีการพูดคุยที่อิงบนหลักการ หลักฐานเชิงประจักษ์และข้อมูลสนับสนุนอย่างรอบด้าน ไม่ใช่นำเสนอข้อมูลด้านเดียว เป็นต้น

ส่วนธนาคารกลางเองก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อภารกิจของตนให้เป็นไปตามกรอบนโยบายเงินเฟ้อ ที่ตกลงกับรัฐบาลและรัฐสภา เหตุผลสำคัญสำคัญคือ ธนาคารกลางต้องมีความรับผิดชอบต่อสาธารณชน เช่นการออกจดหมายเปิดผนึกอธิบายเหตุผลกรณีที่เงินเฟ้อไม่อยู่ในกรอบเป้าหมาย เป็นต้น

นโยบายการคลังเองก็ต้องรักษาเสถียรภาพด้วยเช่นกัน ผ่านการมีวินัยการคลังที่เหมาะสม เพื่อป้องกันมิให้หนี้สาธารณะ (ทั้งทางการและหนี้ที่เกิดจากนโยบายกึ่งการคลัง) และรายจ่ายในการบริหารหนี้สูงเกินไป ต้องมีนโยบายด้านภาษีที่เหมาะสมกับการพัฒนาประเทศ มีการใช้จ่ายด้านการคลังที่มีประสิทธิภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสประเทศในการก้าวทันพัฒนาการสำคัญ ๆ เช่นพัฒนาการด้านเทคโนโลยี การรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นต้น

คณะผู้แถลงการขอเรียกร้องให้ผู้รับผิดชอบนโยบายการเงินและนโยบายการคลังร่วมมือกันในการรักษาเสถียรภาพในด้านที่ตัวเองรับผิดชอบ และทำการประสานเชิงนโยบายอย่างเหมาะสม ผ่านการพูดคุยถกเถียงที่ตั้งอยู่บนฐานวิชาการ และมีข้อมูลสนับสนุน พร้อมกับการรักษาระดับความอิสระของธนาคารกลางอย่างที่ควรเป็น

ประเทศไทยโชคดีที่มีสถาบันและกระบวนการให้หน่วยงานด้านการเงินการคลังร่วมกันจัดทำกรอบงบประมาณประจำปีตามหลักวินัยการเงินการคลังอยู่แล้ว รัฐบาลจึงควรใช้กระบวนการนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด

อนึ่งเพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ คณะผู้แถลงการณ์ขอแจ้งว่านักเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่งจะจัดงานเสวนาเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเพื่อสร้างการเจริญเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” วัตถุประสงค์เพื่อระดมความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ทุกรุ่นในการหาทางออกให้กับประเทศไทยที่ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางเป็นเวลานาน จนทำให้กลายเป็นผู้ป่วยแห่งอาเซียน งานเสวนาจะมีขึ้นในเร็วๆนี้ โดยจะจัดให้มีการถ่ายทอดผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย