‘ศุภชัย’ แนะพลังเคลื่อนเศรษฐกิจ ครีเอทีฟ อีโคโนมิก-ซอฟต์พาวเวอร์

นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (WTO) และอดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) นำเสนอบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ Soft Power ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงที่สำคัญของรัฐบาล
ความสำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ในระดับโลกเห็นได้จากการที่องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้ปี 2021 เป็นปีสากลของเศรษฐกิจสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (International Year of Creative Economy for Sustainable Development) และมอบให้องค์การ UNCTAD เป็นผู้ติดตามผลจากการดำเนินการตามข้อตกลงนี้
โดยให้องค์การ UNESCO และองค์การอื่นของ UN ให้การร่วมมือสนับสนุนในการเสนอรายงานหลักสำคัญของข้อตกลงจากสมัชชาใหญ่ของ UN นี้ความประสงค์ที่จะให้ภาคเศรษฐกิจสร้างสรรค์มีส่วนช่วยให้ประเทศสมาชิกบรรลุเป้าการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือที่รู้จักกันในชื่อ Agenda 2030 โดยเฉพาะผ่านระบบการค้าระหว่างประเทศจากการศึกษาแรกเริ่มของ UN โดยองค์การ UNCTAD เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้วปรากฏว่าข้อมูลที่เก็บได้ด้านปริมาณการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวเนื่องกับภาคเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศกำลังพัฒนามีน้ำหนักมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและมีการขยายตัวในอัตราที่น่าพอใจจึงอาจจะเข้ามามีบทบาทช่วยประเทศกำลังพัฒนาในการกระจายสินค้าและบริการส่งออกไปในลู่ทางที่ประเทศกำลังพัฒนาสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น
UNCTAD มีส่วนช่วยอย่างสำคัญในระยะเริ่มแรกของการสนับสนุนนโยบายการส่งเสริมภาคเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยจัดทำรายงานครั้งแรกของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ชื่อ Creative Economy Report 2008 เพื่อพยายามสร้างระบบการวัดและการประเมินผลผลิตของภาคนี้เพื่อนำมาใช้ในการวางนโยบายอย่างเป็นระบบยิ่งขึ้น
ช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจทดถอยครั้งใหญ่ (Great Recession) ปี 2007-2008 จากสาเหตุของความล้มเหลวของระบบการเงินของสหรัฐที่เกิดจากตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพต่ำประกอบกับการที่ระบบการเงินให้เครื่องมือของตราสารอนุพันธ์มาสร้างรายได้แฝงอย่างเกินเหตุทำให้สภาพการเงินทั้งโลกพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
ในขณะที่เศรษฐกิจระบบตลาดประสบปัญหารุนแรงกับโลกที่มุ่งแสวงหากำไรด้วยความโลภอย่างไม่มีข้อจำกัดทำให้ภาคเศรษฐกิจสร้างสรรค์ซึ่งเชื่อมโยงปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรมความรู้การคิดค้นการสื่อสารคมนาคมเข้ากับระบบการค้าโลกทำให้การผลิตของสินค้าและบริการด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์สามารถขยายตัวไปได้อย่างดีในขณะที่การผลิตสินค้าอื่นทั่วไปประสบกับปัญหาการชะลอตัวอย่างรุนแรง
UNCTAD ใช้ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจทั่วไปมีปัญหาภาวะตกต่ำด้วยการเสนอแนวคิดของการพัฒนาการค้าและการพัฒนาสินค้าและบริการจากภาคเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาเป็นทางเลือกใหม่อย่างจริงจังเป็นไปตามคำนิยามที่ตรงประเด็นที่สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้กับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ว่า
“เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการสร้างและใช้องค์ความรู้ความคิดสร้างสรรค์และทรัพย์สินทางปัญญาที่เชื่อมโยงกับพื้นฐานทางวัฒนธรรมการสั่งสมความรู้ของสังคมเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตสินค้าและบริการใหม่เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ”
แนวทางที่ผสมผสานปัจจัยทางสังคม วัฒนธรรม ปัญญา นวัตกรรม ออกมาเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลงานสร้างสรรค์จะเป็นแนวทางเสริมสร้างเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ต้องคำนึงถึงเศรษฐกิจสีเขียวเศรษฐกิจ ,หมุนเวียนเศรษฐกิจปัญญาและเศรษฐกิจยุคดิจิทัลพร้อมกันไปหมด
“งานของการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเฉพาะภาคบริการ เช่น บันเทิงอาหารหรือวัฒนธรรมแต่อย่างเดียวแต่รวมไปถึงการพัฒนาสถาบันที่มารองรับตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กเกิดใหม่ไปจนถึงการนำปัญญาชุมชนชาวบ้านมาใช้รวมทั้งการผนวกนวัตกรรมยุคใหม่ล่าสุดในรูปของปัญญาประดิษฐ์”
การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์จะมีผลในการช่วยการปฏิรูปโครงสร้างของเศรษฐกิจโดยรวม โดยคำนึงถึงคุณภาพของคนการค้นคิดและการให้การคุ้มครองกับผลจากการค้นคิด (ทรัพย์สินทางปัญญา)
การส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในกรณีของไทยได้ดำเนินมาระยะยาวพอสมควรเริ่มต้นจากการจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์(องค์กรมหาชน)ในปี2018โดยมีขอบข่ายของภาระหน้าที่ที่กว้างขวางครอบคลุม15สาขาตั้งแต่งานศิลปะไปจนถึงด้านการแพทย์แผนไทยและงานด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์
สำนักงานแห่งนี้ควรได้รับการผลักดันอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ได้ก่อตั้งมาและควรให้มีการทำงานประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) อย่างใกล้ชิดทั้งหมดนี้นับว่าตรงกับขอบข่ายข้อแนะนำของสหประชาชาติในการส่งเสริมอุตสาหกรรมและบริการสร้างสรรค์โดยให้มีการจัดตั้งสถาบันที่จะช่วยสนับสนุนกระบวนการที่อาจจะไม่ได้เป็นส่วนของระบบเศรษฐกิจปกติแต่เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจนอกระบบที่มีผู้ประกอบการรายย่อยเป็นส่วนสำคัญและมักจะหลุดออกจากขอบของการให้สวัสดิการทางสังคมที่อาจจะครอบคลุมไปไม่ถึงเนื่องจากขาดข้อมูลที่จับต้องได้
ในกรณีของอาเซียนมีตัวอย่างที่ดีของการถนอมบำรุงระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ด้วยการสร้างสถาบันจากการกระตุ้นให้เมืองที่เหมาะสมพัฒนาตนเองมาเป็นเมืองแห่งการสร้างสรรค์จึงจะเห็นได้ชัดจากการที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งได้ให้การสนับสนุนอย่างชัดเจนแก่เมืองในชนบทเช่นเมืองอุบุด (Ubud) บนเกาะเกาะชวาที่มีนิคมศิลปินและผู้ประกอบการนักสร้างสรรค์ไปกระจุกตัวอยู่มากและ
เมืองบันดุง (Bandung) ที่มีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่จำนวนหลาย 10 แห่งและเป็นแหล่งการผลิตผู้ประกอบการสร้างสรรค์อย่างดีเป็นการรวมตัวกันระหว่างรัฐเมืองและชุมชนที่นับว่าลงตัวอย่างน่าชื่นชมและเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างพื้นฐานของสังคมสร้างสรรค์
ในไทยเองเรามีเมืองวัฒนธรรมและชุมชนสร้างสรรค์กระจายอยู่ทุกภาคทั้งประเทศอาจจะต้องได้รับการช่วยเหลือในการจัดการบริหารและเชื่อมโยงกับระบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อพัฒนาขึ้นมาให้อยู่ในระดับที่โดดเด่นขึ้นมาได้
ในขณะที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์จะเป็นแหล่งปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้โดยเฉพาะเพื่อให้สร้างโอกาสและความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมีนัยสำคัญมากขึ้นนโยบายด้านพลังนุ่มนวล (Soft Power)
หลักการเบื้องต้นของศาสตราจารย์ Joseph Nye จากมหาวิทยาลัย Harvard ผู้แนะนำใช้ศัพท์นี้เป็นคนแรกๆในหนังสือของเขาจากปี 2004 ชื่อ “Soft Power: The Means to Success in World Politics” กล่าวถึงการใช้อำนาจของพลังที่นุ่มนวลแทนการใช้ความรุนแรงเพื่อให้บรรลุผลทางการเมืองระดับโลกพลังนุ่มนวล
ในความเห็นของ Nye คือการเลี่ยงการใช้มาตรการบังคับและหันมาใช้การชักจูงผ่านวิถีของสังคมวัฒนธรรมและนโยบายทางด้านการต่างประเทศแทน
Nye แนะนำไว้อย่างชัดเจนว่าการสร้างความนิยมด้วยการใช้วิถีทางของการโฆษณาชวนเชื่อไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องนักแต่ที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความน่าเชื่อถือซึ่งเขาถือว่าเป็นทรัพยากรที่หายากที่สุด อย่างไรก็ตาม นักรัฐศาสตร์รุ่นต่อมามีความเห็นว่าพลังนุ่มนวลอาจจะไม่ให้ผลที่ต้องการมากนักและในปัจจุบันแรงจูงใจที่ดีที่สุดคือปัจจัยทางเศรษฐกิจและการใช้กำลังตรงไปตรงมา
จากแนวคิดและแนวนโยบายทั้งทางด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์และด้านพลังนุ่มนวลจะเห็นได้ว่าหลักการนโยบายทั้ง2แนวจะมีส่วนช่วยเติมเต็มให้ซึ่งกันและกันและเป็นพื้นฐานสนับสนุนเป้าหมายทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองพร้อมกันไปยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จึงได้บูรณาการแนวนโยบายทั้งสองด้านเข้าไว้ด้วยกันในการส่งเสริมบทบาทของไทยในเวทีความมั่นคงระหว่างประเทศจากคำอธิบายในยุทธศาสตร์ชาติ“ให้ยอมรับถึงความสำคัญ
รวมถึงการเสริมสร้างพลังบวกหรืออำนาจแบบนุ่มนวลของไทยโดยอาศัยการส่งเสริมและเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีและวัฒนธรรมประเพณีไทยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงศาสตร์พระราชาความนิยมวิถีไทยสินค้าไทยฯลฯ
การให้ความโดดเด่นแก่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจสังคมของไทยจะเป็นพลังบวกที่สำคัญในการสร้างความเชื่อถือเชื่อมั่นให้กับเศรษฐกิจไทยที่จะมีน้ำหนักทางด้านพลังนุ่มนวลมากขึ้นเฉกเช่นที่ประเทศเช่นภูฐานใช้หลักการของ‘ความสุขมวลรวมของชาติ’เป็นพลังบวกในการสร้างความเชื่อมั่นและพลังนุ่มนวลของภูฐานในเวทีโลกทั้งที่ประเทศนี้มีขนาดเล็กมากก็ตามประเทศเล็กอีกประเทศหนึ่งที่มีพลังบวกทางด้านนุ่มนวลมากคือนิวซีแลนด์ที่ได้รับความนับถือจากทั้งโลกในฐานะที่เป็นประเทศที่มีอัตราการฉ้อโกงต่ำที่สุดของโลก
ข้อสรุปที่สำคัญก็คือไม่ว่านโยบายด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการสร้างพลังบวกจากพลังนุ่มนวลของประเทศที่จะให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันจำเป็นที่ประเทศต้องสามารถเรียกแรงศรัทธาและความเชื่อถือจากเวทีโลกให้ได้ทั้งนี้คงไม่ใช่จะได้มาจากการแสดงออกทางด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างเดียวแต่โดยสาระหลักการจะต้องมาจากความน่าเชื่อถือของนโยบายหลักของประเทศเช่นการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
การให้การช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กที่เป็นกระดูกสันหลังของการสร้างสรรค์ความคิดนวัตกรรม การรักษากฎระเบียบทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดรวมทั้ง การรักษาแนวการปฎิบัติอย่างคงเส้นคงวาที่รักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจผ่านการรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดเช่นที่จะบรรลุได้ผ่านหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง







