คลังจี้ธปท.ลดดอกเบี้ยนโยบายช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

คลังจี้ธปท.ลดดอกเบี้ยนโยบายช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

คลังจี้ธปท.ลดดอกเบี้ยนโยบายช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ชี้หนี้ครัวเรือนที่สูงบวกกับดอกเบี้ยที่สูง ทำให้การบริโภคภาคประชาชนและเอกชนลดลง โดยดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นมา 2% ทำให้เงินในระบบหายไปถึง 5 แสนล้านบาท รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเดินโครงการแจกเงินดิจิทัลเข้าระบบ

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังระบุ ปัญหาเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันนี้ การบริโภคของภาคประชาชนและการลงทุนของภาคเอกชนลดน้อยลง ซึ่งเป็นผลจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงถึง 90% และ อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้สภาพคล่องในระบบหายไป รัฐจึงจำเป็นต้องเติมเงินก่อนใหม่เข้าไปในระบบผ่านโครงการแจกเงินดิจิทัล

“การเติมเงินในระบบต้องเป็นเงินใหม่ ตรงกับที่เราจะทำ คือ การออก พ.ร.บ.เงินกู้ เพื่อให้เงินหมุนเวียนเพียงพอ เพราะปัจจุบัน ภาคธุรกิจไม่ลงทุน ประชาชนไม่บริโภค ดัชนีเชื่อมั่นลดลง หนี้ครัวเรือนที่สูง 90% ดอกเบี้ยที่สูง ทำให้ภาคธุรกิจต้องมาทบทวนเรื่องการลงทุนตัวเอง ภาคประชาชนแทนที่ใช้จ่ายก็เก็บออมไว้ชำระหนี้ ทำให้การใช้จ่ายชะลอตัว เศรษฐกิจขยายตัวช้า ตัวเลขเงินเฟ้อลบมา 4 เดือน บางคนบอกเพราะนโยบาย ก็ถูก แต่หลักใหญ่ คือ อัตราดอกเบี้ยที่สูงไป หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน รวมกันแล้วสูงถึง 30 ล้านล้านบาท ปรับดอกเบี้ยขึ้นมา 2% เท่ากับ เงิน 5 แสนล้านบาท ที่ดูดซับออกไปจากระบบ ฉะนั้นจ วันนี้ ต้องเติมเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ถ้าธปท.ลดดอกเบี้ยก็ดี เพราะเรื่องนี้ ขาดความเชื่อมโยงกับประชาชน

สำหรับความคืบหน้าโครงการแจกเงินดิจิทัลนั้น เขากล่าวว่า ขณะนี้ เราก็รอความเห็นจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ซึ่งรู้สึกว่า ไม่รู้จะมีความชัดเจนเมื่อไหร่ เราก็เห็นตรงกันว่า เราจะเดินคู่ขนานไป ข้อสังเกตจากป.ป.ช.มาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ในส่วนของเราทำได้ก็ทำก่อน ซึ่งเราจะจัดประชุมบอร์ดในสัปดาห์หน้าเพื่อตั้งอนุกรรมการเพื่อดูแล 3 ชุด

โดยคณะอนุกรรมการชุดแรกนั้น เนื่องจาก ข้อห่วงใยเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งบางจุดอ่านแล้วเหมือนข้อกล่าวหาด้วยซ้ำ ดังนั้น เราก็จะตั้งคณะกรรมการติดตามเรื่องของการใช้จ่ายผิดประเภท ซึ่งเรายืนยันว่า ด้วยกลไกของเรามีการกำกับ แต่เมื่อเป็นข้อห่วงใยมา สิ่งที่เราต้องทำ คือ วางกรอบการทำงาน จะมีกลไกอะไรออกมารองรับเรื่องการตรวจสอบ ซึ่งที่จริงแล้ว เรามีแผนจะตั้งคณะอนุกรรมการชุดนี้ออกมา แต่รอจังหวะเวลา เพื่อจะเดินหน้า

คณะอนุกรรมการชุดที่สอง คือ คณะกรรมการที่จะทำหน้าที่ในการรับฟังความเห็นเพิ่มเติมจากภาคประชาชนและแวดวงราชการเพิ่มเติม ก็ให้กรอบเวลาค่อนข้างสั้น 2-3 สัปดาห์ ไม่ได้ให้ทำเป็นเดือนเป็นปี เพื่อให้ได้คำตอบว่า กลไกจะตอบโจทย์เราจริงในการกระตุ้นเศรษฐกิจและคณะอนุกรรมการชุดที่สาม คือ คณะที่จะพิจารณาให้การใช้จ่ายเงินสามารถเชื่อมโยงกับระบบธนาคารต่างๆได้

“เราได้ฟังความเห็นจากภาคเอกชน คงมีการมอบหมายให้ไปศึกษาความเป็นไปได้ในการที่จะทำให้ระบบดิจิทัลวอลเล็ตเชื่อมต่อกับระบบเอกชน เช่น ระบบแบงก์กิ้งของธนาคารรัฐและเอกชน ถ้าเราจะเดินหน้า อยากจะให้เห็นว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์ขานรับได้ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจและเขาเองก็อยากจะมีร่วมกับโครงการนี้ อยากจะคุยกันว่า จะมาลิงค์กับระบบโดยไม่กระทบภาพรวม ไม่จำเป็นต้องเป็นเป๋าตัง ทำให้การใช้กว้างและมีประโยชน์มากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าโครงการแจกเงินดิจิทัลนี้ จะไม่สามารถเริ่มใช้จ่ายได้ตามกำหนดเดือนพ.ค.67 แต่คาดว่าจะสามารถใช้จ่ายได้ภายในปี 2567 นี้แน่นอน