ปานปรีย์เรียกประชุมขึ้นเงินเดือนขรก. 10 พ.ย. เล็งขึ้นตามนโยบายเพื่อไทย

ปานปรีย์เรียกประชุมขึ้นเงินเดือนขรก. 10 พ.ย. เล็งขึ้นตามนโยบายเพื่อไทย

‘ปานปรีย์’ เรียกประชุมขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 10 พ.ย. เล็งขึ้นตามนโยบาย ‘เพื่อไทย’ ป.ตรี 2.5 หมื่น/เดือน แต่ขอดูข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมเรียกทูตทั่วโลกมอบนโยบายทำ FTA เทคโนโลยี ความมั่นคง ทำนโยบายปี 67

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เปิดเผยว่าในวันศุกร์ที่ 10 พ.ย.นี้ตนได้นัดหมายกับ 4 หน่วยงานที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลังมอบหมายให้ไปศึกษาการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ

ได้แก่ กระทรวงการคลัง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม (สศช.) คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) สำนักงบประมาณ ให้มาประชุมกันที่ทำเนียบรัฐบาล โดยตนจะเป็นประธานในการประชุมเอง พร้อมขอให้มีการประชุมลักษณะนี้ 2 ครั้ง เพื่อ เสนอ ครม. ได้ภายในเดือนนี้ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี

ปานปรีย์เรียกประชุมขึ้นเงินเดือนขรก. 10 พ.ย. เล็งขึ้นตามนโยบายเพื่อไทย

“ขณะนี้อยู่ระหว่างรอข้อมูลจาก ก.พ. เกี่ยวกับการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ว่าจะปรับขึ้นหรือไม่ หรือจะปรับขึ้นในอัตราเท่าไหร่ หรือกับข้าราชการทั่วทุกคนหรือเฉพาะกลุ่ม ต้องศึกษาความเป็นไปได้และผลกระทบในหลายหลายด้านซึ่งขนาดนี้ ต้องยอมรับว่าประชาชนและข้าราชการและข้าราชการกำลังเดือดร้อน  อย่างไรก็ตามจะได้ข้อสรุปภายในเดือนพ.ย. ตามสั่งการนายกฯ และนำเข้าสู่ที่ประชุมครม. พิจารณาต่อไป”

เมื่อถามว่าจะมีการขยับขึ้นเหมือนตอนสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตอนปรับขั้นเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทหรือไม่ นายปานปรีย์  กล่าวว่า มีการไปดูจากฐานข้อมูลเดิมด้วย ไปดูจำนวนและกลุ่มบัญชีที่ปรับขึ้น แต่การปรับขึ้นเงินเดือนของรัฐบาลนี้จะเป็นไปตามที่พรรคหาเสียงไว้  คือเงินเดือนขั้นต่ำปริญญาตรี 25,0000 บาทต่อเดือน แต่จะต้องใช้เวลาในการขยับขึ้น ซึ่งคณะทำงานจะมีการดูรายละเอียดพวกนี้เพื่อเสนอต่อ ครม. ด้วย

นายปานปรีย์  กล่าวด้วยว่า วันที่ 22-24 พ.ย. กระทรวงการต่างประเทศจะเชิญเอกอัครราชฑูตจากทั่วโลก เพื่อประชุมกระทรวงการรต่างประเทศเพื่อรับนโยบาย โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในการเปิดงาน โดยประเด็นสำคัญที่จะแจ้งให้ทูตทั่วโลกรับทราบว่ามี 3-4 เรื่องหลักๆ ได้แก่ 1.เรื่องบทบาทการทูตต่อเรื่องเศรษฐกิจ ที่ต้องการให้ทูตมีบทบาทในการเปิดตลาดการค้าในต่างประเทศ

2.เรื่องความมั่นคง

และ 3.เรื่องแนวโน้มการเปลี่ยนของโลกที่ประเทศต่างๆ มีส่วนเกี่ยวข้อง  เพื่อในปีหน้ารัฐบาลจะได้รุกในตลาดต่างประเทศ การทำเอฟทีเอ และการเจรจาความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ได้ทันที