ดอกเบี้ยพุ่งดันต้นทุนการเงิน ภาคธุรกิจเข้มงวดลงทุนใหม่

ดอกเบี้ยพุ่งดันต้นทุนการเงิน ภาคธุรกิจเข้มงวดลงทุนใหม่

ภาคธุรกิจ ประเมินผลกระทบขึ้นดอกเบี้ย ดันต้นทุนการเงินเพิ่มสูงขึ้น ชี้เศรษฐกิจปีหน้าปัจจัยเสี่ยงสูง ต้องระวังการลงทุนใหม่ อสังหาฯ ระบุขึ้นดอกเบี้ยฉุดกำลังซื้อที่อยู่อาศัยราคาต่ำ3ล้าน สะดุด กระทบตลาด 2.5-3% แนะยกเลิกมาตรการแอลทีวีชั่วคราว

หลังจากที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 27 ก.ย.2566 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นจาก 2.25% เป็น 2.50% ต่อปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในภาพรวม โดยเฉพาะผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง

เอกชนระวังลงทุนใหม่มากขึ้น

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินทั้งผู้ประกอบการและประชาชนที่มีภาระเงินกู้ โดยในมุมผู้ประกอบการได้พยายามลดต้นทุนธุรกิจ และล่าสุดรัฐบาลลดค่าไฟงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.2566 และลดราคาดีเซลลง แต่อีกไม่กี่วันถัดมา ธปท.กลับขึ้นดอกเบี้ยนโนยบายอีก 0.25%

ทั้งนี้ การปรับตัวจากผลกระทบทางการเงินที่สูงขึ้นทำได้ยาก เพราะภาคธุรกิจยังมีความจำเป็นต้องขอสินเชื่อเพื่อลงทุน ดังนั้นถ้าจะลดต้นทุนทางการเงินก็ต้องลดการกู้เงินเพื่อการลงทุนลง ซึ่งทำให้การลงทุนใหม่จะต้องมีความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนที่ต้องใช้สินเชื่อที่ต้องศึกษาให้ชัดเจนว่าหากต้องกู้เงินมาลงทุนแล้วยังสามารถคืนทุนได้

“ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบหนักขึ้นเพราะต้นทุนหลายรายการสูงขึ้น และเมื่อรวมกับแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2566-2567 ไม่ไม่ค่อยดีจึงทำให้ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังการลงทุนใหม่”

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจปี 2567 มีมุมมองที่ไม่ค่อยดี เพราะเศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงกดดันจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น หลังจากที่ซาอุดิอาระเบียลดกำลังการผลิตต่อจนถึงเดือน ธ.ค.2566 รวมทั้งรัสเซียผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ได้จำกัดการส่งออกน้ำมันดีเซล จึงทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มขยายตัวสูงถึงบาร์เรลละ 100 ดอลลาร์ ที่จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนธุรกิจในปี 2567

นายเกรียงไกร กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจปี 2567 ทำให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น โดยหลายบริษัทจะต้องมีการรัดเข็มขัดเพื่อรักษาสภาพคล่องธุรกิจไว้ ดังนั้นจึงมีโอกาสเห็นหลายบริษัทที่จะเพิ่มความระมัดระวังในการตัดสินใจการลงทุน

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เชื่อว่าเป็นไปตามการพิจารณาของทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ เพราะท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากประเทศไทยไม่ปรับตัวตามก็จะส่งผลทำให้นักลงทุนถอนเงินออกจากไทย และกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยมากกว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ประเมินว่าไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ EA เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย ดังนั้นไม่ได้มีนัยยะที่จะส่งผลทำให้ต้องปรับแผนธุรกิจ แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวจะเกิดขึ้นในภาคการส่งออกมากกว่า ซึ่ง EA เป็นบริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบมากหากเทียบกับการส่งออก

นอกจากนี้ การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยก็เกิดขึ้นทั่วโลก ผลจากแรงกดดันของทางสหรัฐและมองว่าหลังจากนี้โลกจะอยู่ในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยนอกจากผลทางด้านเศรษฐกิจแล้วต้องเตรียมรับมือกับช่วงฤดูหนาวนี้ที่จะส่งผลต่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย หรืออาจเรียกได้ว่าขณะนี้อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่มีการโต้ตอบด้านเศรษฐกิจ จากประเทศมหาอำนาจและกลุ่มบริกส์ (BRICS) กลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว

“ไทยในขณะนี้ถือว่าโชคดีที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และเห็นชัดว่ารัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นหากไทยจะรอดจากวิกฤตนี้ ต้องมีผู้นำที่กล้าตัดสินใจ เป็นตัวกลางในการผลักดันองคาพยพ ให้เดินหน้าพร้อมกันทุกด้าน” นายสมโภชน์กล่าว