สรท. คงเป้าส่งออกติดลบ 0.5% หวังเร่งตั้งรัฐบาลอัดงบกระตุ้นเศรษฐกิจ

สรท. คงเป้าส่งออกติดลบ 0.5% หวังเร่งตั้งรัฐบาลอัดงบกระตุ้นเศรษฐกิจ

สรท. ประเมินส่งออกไทยปี 2566 คงเป้าติดลบ 0.5-1% ระบุเศรษฐกิจคู่ค้าหลักปัจจัยฉุดส่งออก ชี้ยังมีโมเมนตัมส่งออกสินค้าเกษตร ข้าว น้ำตาล อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ หวังเร่งตั้งรัฐบาลขับเคลื่อนกิจกรรมส่งออกครึ่งปีหลัง

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า มูลค่าการค้าระหว่างประเทศเดือนมิ.ย. 2566 อยู่ที่ 24,826.0 ล้านดอลลาร์ หดตัว 6.4% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 848,927 ล้านบาท หดตัว 6.3% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนมิ.ย. หดตัว 2.9%) 

ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 24,768.4 ล้านดอลลาร์ หดตัว 10.3% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 857,188 ล้านบาท หดตัว 10.2% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมิ.ย. 2566 เกินดุลเท่ากับ 57.7 ล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ 8,261 ล้านบาท

โดยภาพรวมการค้าระหว่างประเทศในช่วงครึ่งแรกของปี (ม.ค.-มิ.ย. 2566) พบว่า มูลค่าส่งออกไทย อยู่ที่ 141,170.3 ล้านดอลลาร์ หดตัว 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 4,790,352 ล้านบาท หดตัว 3.1% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในช่วงม.ค. - มิ.ย. หดตัว 2.3%) 

ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 147,477.9 ล้านดอลลาร์ หดตัว 3.5% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 5,067,514 ล้านบาท หดตัว 1.3% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนม.ค. - มิ.ย. 2566 ขาดดุลเท่ากับ 6,307.6 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 277,162 ล้านบาท

"สรท. ยังคงคาดการณ์เป้าหมายการทำงานด้านการส่งออกรวมทั้งปี 2566 ติดลบต่ำสุดที่ 0.5% และจะขยายตัวได้มากสุด 1% (ณ เดือนส.ค. 2566) หากยังมีโมเมนตัมการส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ข้าว น้ำตาล รวมทั้งการส่งออกยานยนต์ที่น่าจะโต 5% ในปีนี้ และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นด้วย"

ทั้งนี้ มีปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2566 ได้แก่ 1. ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ฝั่งตะวันออกและตะวันตก ส่งผลอย่างยิ่งต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลก 2.เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักยังคงขยายตัวแบบชะลอลงและฟื้นตัวแบบหน่วง เช่น ตลาดสหรัฐ ยุโรป และจีน 

3. อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ระบบการเงินมีแนวโน้มสภาพคล่องลดลงและการปล่อยสินเชื่อตึงตัวขึ้น 4. ต้นทุนการผลิตยังคงสูง อาทิ ค่าไฟฟ้า ราคาวัตถุดิบการผลิต ส่งผลต่อความสามารถทางด้านการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทย

5. ความเสี่ยงจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อปริมาณน้ำในเขื่อนและแหล่งกักเก็บน้ำ รวมถึงผลผลิตทางการเกษตรในช่วงปลายปี

ทั้งนี้ สรท. จึงมีข้อเสนอแนะให้เร่งกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนแผนกิจกรรมการส่งออกในครึ่งปีหลัง รวมถึงการเจรจาการค้าเสรี (FTA) ให้มีความต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมีสเถียรภาพ และเร่งหาตลาดใหม่เพิ่มเติม 

นอกจากนี้ ภาครัฐและเอกชน ต้องเร่งบริหารจัดการลดผลกระทบต่อต้นทุนภาคการผลิตที่ปรับสูงขึ้น อาทิ ค่าไฟฟ้า ค่าแรง อัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะมีผลต่อการเจรจาทางการค้ากับคู่ค้า โดยอาจเสียเปรียบคู่แข่งที่สำคัญ รวมถึงต้องเร่งการลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการของภาคการผลิตและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องเพื่อรองรับมาตรการทางค้าใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง             

รวมทั้ง ต้องเร่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการในโซ่อุปทาน (Supply Chains Financing) โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 

อีกทั้ง เร่งเพิ่มทักษะและสมรรถนะของแรงงาน ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด พัฒนาและปรับตัวโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตจนถึงส่งมอบสินค้า 
นอกจากนี้ ต้องเร่งแสวงหาช่องทางหรือรูปแบบการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในรูปแบบใหม่ เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง และยกระดับประสิทธิภาพและโลจิสติกส์ให้สูงขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า